งานประชุมระดับชาติ ครั้งที่ 2 หัวข้อย่อยที่ 1 เรื่อง Unveiling the Dynamics: Anti-Corruption Trends and Intriguing Research in 2024

เทรนด์วิชาการต่อต้านคอร์รัปชัน 2024 มีอะไรน่าสนใจบ้าง ? ในโลกที่เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การคอร์รัปชันก็มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน เราจึงต้องการงานวิจัยและการค้นคว้า เพื่อหาแนวทางใหม่ ๆ ในการต่อต้านและป้องกันไม่ให้การคอร์รัปชันเกิดขึ้น

ในโลกที่เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การคอร์รัปชันก็มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน เราจึงต้องการงานวิจัยและการค้นคว้า เพื่อหาแนวทางใหม่ ๆ ในการต่อต้านและป้องกันไม่ให้การคอร์รัปชันเกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของงานประชุมระดับชาติ เพื่อการส่งเสริมศักยภาพและขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในระดับภูมิภาคครั้งที่ 2 หัวข้อย่อยที่ 1 เรื่อง Unveiling the Dynamics: Anti-Corruption Trends and Intriguing Research in 2024 ที่เพิ่งจบไปเมื่อศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567
โดย KRAC Corruption ได้สรุปประเด็นจากวิทยากรทั้ง 3 ท่านในงานมาฝาก เพื่ออัปเดตเทรนด์วิชาการต่อต้านคอร์รัปชัน 2024 ให้กับผู้อ่านทุกคน
 
วิทยากรท่านแรก ผศ. ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในประเด็น “8 ข้อค้นพบจากงานวิจัยต่อต้านคอร์รัปชันตลอด 20 ปีที่ผ่านมา”
  1. แยกคำว่าทุจริตคอร์รัปชันออกจากกัน : งานวิจัยเกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชันส่วนใหญ่มักใช้คำว่า “ทุจริตคอร์รัปชัน” ซึ่งจริง ๆ แล้วสองคำนี้มีความหมายต่างกัน คำว่า “ทุจริต” คือ Dishonesty ซึ่งหมายถึงคนไม่ดีหรือคนโกง แต่คำว่า “คอร์รัปชัน” คือการพูดถึงระบบที่กำลังมีปัญหา งานวิจัยในอนาคตของประเทศไทยจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันมากขึ้น
  2. หลักสูตรพัฒนาจริยธรรมที่พอดี : การมีหลักสูตรและการอบรมที่เกี่ยวกับจริยธรรมมากเกินไปอาจกลายเป็นภาระและความเหนื่อยล้าของข้าราชการส่งผลให้เกิดการไม่อยากทำ (Reactance bias) หลักสูตรจริยธรรมจึงต้องมีประสิทธิภาพ รู้ว่าควรเลือกหลักสูตรไหน จำนวนเท่าไรจึงจะมีความเหมาะสมกับการพัฒนาคน
  3. สังคมไทยจำเป็นต้องสร้างแนวคิดการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชัน : การศึกษาวิจัยพบว่าเกิน 95 % ของนิทานเกี่ยวกับการต้านโกงมักจบลงด้วยคำสอนของผู้ใหญ่ สะท้อนภาพสังคมไทยที่เป็นระบบอุปถัมภ์แต่ไม่ใช่การร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหา แนวทางเรื่องการร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชันจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นกรอบแนวคิดของงานวิจัยสมัยใหม่ ว่าเราจะสอนเด็กหรือประชาชนอย่างไรให้เกิดการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
  4. งานวิจัยอาจจะต้องเน้นไปที่วิธีการแก้ปัญหาให้มากขึ้น : ปัจจุบันพบว่าสังคมไทยมีงานวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติต่อการคอร์รัปชันว่าไม่ดีมากพอแล้ว งานวิจัยหลังจากนี้อาจจะต้องเป็นเรื่องของการสร้างทักษะในการต่อต้านคอร์รัปชันในโลกความเป็นจริงมากกว่า เช่น เราจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างไร เราจะแจ้งเบาะแสอย่างไร รวมทั้งกระบวนการต้องง่ายต่อประชาชน เช่น User research, UX/UI, กระบวนการจัดการความกลัวของคนที่ต้องการจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชัน
  5. งานวิจัยต่อต้านคอร์รัปชันควรเพิ่มงานวิจัยพื้นฐานในการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการคอร์รัปชันให้ทันสถานการณ์ : เราจะเห็นว่าในต่างประเทศมีการศึกษาคอร์รัปชันเรื่องใหม่ ๆ เช่น State capture / Rent seeking / Conflict of interests ในขณะที่งานวิจัยในอดีตที่ผ่านมาของไทยมีการศึกษานิยามเกี่ยวกับคอร์รัปชันแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่เราอาจจะต้องมีงานวิจัยพื้นฐานที่อัปเดตนิยามหรือสถานการณ์เพื่อให้เท่าทันต่อการคอร์รัปชันที่พัฒนาอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับระบบทุนนิยม
  6. กระบวนการให้ทุนวิจัยขาดการเชื่อมโยงให้เห็นผลลัพธ์ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน : กระบวนการให้ทุนในปัจจุบันยังมองเรื่องสังคมคุณธรรม (Moral Society) ธรรมาภิบาล (Good Governance) และการต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-Corruption) แยกส่วนกัน ทำให้ผู้วิจัยที่รับทุน และสังคมมองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยง เช่น มีส่วนร่วมแล้วได้อะไร โปร่งใสเพื่ออะไร หากลองมองโดยใช้กรอบ CIPP Model จะเห็นว่า โครงสร้างการเมืองส่งผลให้เกิดสังคมคุณธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาล และนำไปสู่ระดับการคอร์รัปชันที่ลดลง
  7. งานวิจัยมีพลวัตแต่ยังขาดการศึกษาที่ต่อเนื่อง : จากการศึกษางานวิจัยการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยพบว่ามีพลวัตพอสมควร ซึ่งในแต่ละช่วงปีจะมีการเปลี่ยนความสนใจในการศึกษาไปเรื่อย ๆ เช่น ในปี 2550-2554 งานวิจัยเน้นไปที่การศึกษาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ในช่วงปี 2555-2559 งานวิจัยจะเน้นไปที่เรื่องความโปร่งใส ส่วนในช่วงปี 2560-2563 งานวิจัยจะเน้นไปที่เรื่องธรรมาภิบาล ซึ่งการปรับตัวเร็วก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ควรมีรากฐานการศึกษาที่ต่อเนื่องในการทำความเข้าใจคอร์รัปชันในเรื่องนั้น ๆ การให้ทุนสนับสนุนจึงอาจทำให้เกิดการกระจายงบ และทำให้งานวิจัยมีความหลากหลายและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
  8. Impact pathway ของงานวิจัยต่อต้านคอร์รัปชันควรมีวิธีการใหม่ ๆ เกิดขึ้น : หากเราไปดูกระบวนการกำหนดนโยบายจะพบว่าส่วนใหญ่จะอยู่เพียงกระบวนการระบุปัญหา (Problem Identification) และข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Formulation) แต่ยังขาดการประยุกต์ใช้นโยบายในปัจจุบัน (Policy Adoption) การระบุผลลัพธ์ของนโยบาย (Policy Implementation) และการประเมินนโยบาย (Policy Evaluation) เราจึงต้องการงานวิจัยที่เป็นการทดลอง, การทำ RCTs, หรือ การทดลองในสนาม (Field Experiments) เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นได้จริง
 

วิทยากรท่านที่สอง Professor Matthew C. Stephenson, Professor of Law at Harvard Law School บรรยายในประเด็น “3 ไฮไลต์ น่าสนใจจากเทรนด์วิชาการ ในช่วง 15-20 ที่ผ่านมา”

 

(1) ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยในระดับจุลภาคมากขึ้น (Shift from macro to micro)

  • มีการศึกษาวิจัยเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันเพื่อเปรียบเทียบระหว่างประเทศมากขึ้น และการพยายามตั้งคำถามโดยภาพรวม เช่น การทุจริตมีความสัมพันธ์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือไม่ ? หรือ การทุจริตมีความสัมพันธ์กับประชาธิปไตยหรือไม่ ?
  • การศึกษาวิจัยเน้นประเด็นที่เป็นจุลภาคมากขึ้น เช่น งบประมาณของรัฐที่จัดสรรให้กับโรงเรียนในระดับท้องถิ่น ระดับหมู่บ้าน เพื่อศึกษาลงลึกในบริบทที่แตกต่างออกไปของสังคม หรือการให้ชาวบ้านร่วมหารือเพื่อพิจารณางบประมาณท้องถิ่นเพื่อทำให้เกิดความคุ้มค่าและลดการทุจริต

(2) ความท้าทายในการจัดการวัดผลระดับการทุจริต (Addressing Measurement Challenges)

  • การศึกษาวิจัยงานวิจัยเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน มีการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Measure) และเชิงประจักษ์ (Empirical) มากขึ้น เพื่อให้เห็นภาพของการต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจน
  • นิติเศรษฐศาสตร์ (Forensic economic) ถูกนำมาใช้ช่วยให้เกิดการวัดระดับที่ดีขึ้น เช่น การคำนวณต้นทุนการขนส่งผ่านท่าเรือที่แอฟริกาใต้ เปรียบกับท่าเรืออื่น ๆ โดยพบว่าบริษัทส่วนใหญ่จะเลือกท่าเรือที่มีความโปร่งใสมากกว่า
  • การคำนวณที่แม่นยำจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในแต่ละสังคม โดยมีเทคนิคที่ได้จากการทำงานวิจัยเกี่ยวกับคอร์รัปชันเป็นพื้นฐาน
(3) การอนุมานเชิงสาเหตุผ่านการออกแบบการวิจัย (Causal Inference through Research Design)
  • หลายปีที่ผ่านมาการศึกษาด้านคอร์รัปชันพยายามค้นคว้าสาเหตุปัจจัยของความสัมพันธ์ระหว่างคอร์รัปชันกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เสรีภาพทางการเมือง
  • การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทุจริตและรายได้ต่อหัวของประชากรพบว่า ประเทศที่ร่ำรวยมีแนวโน้มการคอร์รัปชันต่ำกว่าประเทศที่ยากจน ซึ่งนำมาสู่แนวคิดต่าง ๆ เช่น ความร่ำรวยของประเทศอาจทำให้การต่อสู้กับคอร์รัปชันง่ายขึ้น หรือธรรมาภิบาลและความโปร่งใสอาจช่วยในการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก็อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
  • การสร้างภาพความเชื่อมโยงจะทำให้ประเด็นต่าง ๆ มีผลกระทบและผลลัพธ์ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะช่วยทำให้เราเห็นการต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจน เชื่อมโยง และสามารถใช้เพื่อศึกษาการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
เมื่อรู้ว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาอย่างไร จึงนำไปสู่การสร้างความรู้และความร่วมมือในการดำเนินนโยบายซึ่งมี 4 ประเด็นที่ควรมีการสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่
  • ควรมีการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและกำลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องในการต่อต้านคอร์รัปชัน
  • ควรมีทรัพยากรซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้นักวิจัยเข้าถึงและดาวน์โหลดข้อมูลที่จำเป็นในการศึกษาวิจัยเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันได้
  • ควรมีกองทุนที่จะช่วยให้เกิดการทำงานและการสร้างความเชื่อมโยงที่จะช่วยให้การต่อต้านคอร์รัปชันเกิดขึ้น และมีการลงทุนในระยะยาวในการสนับสนุนทุนต่อต้านคอร์รัปชันในอนาคต
  • ควรมีความร่วมมือในการทำงานเป็นทีมจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงในแต่ละภาคส่วนและช่วยให้การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 

วิทยากรท่านสุดท้าย คุณสตตกมล เกียรติพานิช ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บรรยายในประเด็น “บทบาทของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการขับเคลื่อนด้านการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม 2567” สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ปี พ.ศ. 2566-2570 โดยมีส่วนในการยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการพัฒนากำลังคนและสถาบันทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยแผนงานของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติในปี 2567 จะมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยมุ่งเน้นในเรื่องการมีส่วนร่วม การทำงานเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่ขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในองค์กร และสังคม

 
เชื่อว่าหลายคนคงจะได้คำตอบจากการสรุปของงานเสวนาในครั้งนี้ว่าการค้นคว้าวิจัยในงานวิชาการด้านการต่อต้านคอร์รัปชันจะต้องมีทิศทางต่อไปอย่างไรในปี 2024 เพื่อสามารถต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้และนำไปใช้ในการต่อต้านคอร์รัปชันในโอกาสต่อไป โดยสำหรับผู้ที่สนใจรับชมเนื้อหาและรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ 👉👉 https://bit.ly/48Ga2gq
 
นอกจากงานเสวนาครั้งนี้ เรายังมีงานต่อไปในหัวข้อ “ความท้าทาย แนวทางการแก้ไขปัญหา การคอร์รัปชัน และการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทยอย่างมีส่วนร่วม” ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนมกราคมนี้ โดยสามารถติดตามได้จากเพจ KRAC Corruption
 

You might also like...