คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : จีนกระจุก เทากระจาย: มอง ‘ทุนจีนเทา’ ที่กลืนกลายอยู่ในสังคมไทยผ่านมุมมองสังคมวิทยา

ในปัจจุบัน การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับจีนสมัยใหม่หรือจีนร่วมสมัยในสังคมไทย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นเรื่อง “ทุนจีนเทา” (Grey Capital) นับเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจ เนื่องมาจากความเชื่อมโยงของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของพื้นที่ในสังคมไทยที่ทุนจีนเทาเหล่านี้เข้าไปมีอิทธิพลและดำรงอยู่ รวมถึงมีผลกระทบสำคัญต่ออนาคตในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนด้วย ดังนั้น การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทุนจีนเทา จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นศึกษาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาของไทย โดยอาศัยมุมมองจากศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ ในการมองประเด็นเรื่อง “ทุนจีนเทา” ผ่านมุมมองของสังคมวิทยา ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการอธิบายปรากฏการณ์การแพร่หลายของทุนจีนเทาในไทยที่เป็นไปในลักษณะที่ “เคลื่อนไหวได้” และสามารถ “สร้างตัวตน” รวมถึง “ปรับเปลี่ยนไปตามบริบททางสังคม” โดยทุนจีนเทาที่มีความเลื่อนไหลและเปลี่ยนแปลงได้เหล่านี้ เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญของสถานการณ์การเข้ามามีบทบาทของทุนจีนเทาในสังคมไทย ผ่านโครงสร้างและบริบทที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งเอื้อให้กลุ่มทุนเหล่านี้สามารถดำรงอยู่และเติบโตได้เป็นอย่างดี

จากงานเรื่อง Explaining “Grey Capital” : The Sociology of Transnational Chinese Companies and Crime in Thailand ของ Raymond (2024) ที่ได้วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ทุนจีนเทาที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย และพบว่าความหมายของ “ทุนจีนเทา” ในที่นี้ หมายถึง การลงทุนข้ามชาติที่เป็นส่วนผสมระหว่างธุรกิจที่ “ถูกกฎหมาย” และ “ผิดกฎหมาย” ในสังคมไทย ซึ่งแตกต่างจากภาพความเข้าใจของผู้คนในสังคมโดยทั่วไปที่มองว่าทุนจีนเทาจะเป็นเฉพาะเรื่องที่ผิดกฎหมายเท่านั้น เช่น การฟอกเงิน การพนันออนไลน์ กาสิโนเถื่อน การค้ามนุษย์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีทุนจีนเทาที่มาพร้อมกับธุรกิจที่ถูกกฎหมายต่างๆ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยที่ถูกกว้านซื้อโดยนักลงทุนจีน ธุรกิจร้านอาหารที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการบังหน้าเพื่ออำพรางกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย การท่องเที่ยวในลักษณะทัวร์ศูนย์เหรียญที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการปลอมแปลงเส้นทางการเงิน หรือการจัดตั้งสมาคมหรือมูลนิธิทางวัฒนธรรมจีนเพื่อสร้างเครือข่ายกับบุคคลหรือเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ซึ่งมักจะเป็นการอาศัยโครงสร้างของรัฐที่อ่อนแอ ช่องโหว่ของกฎหมาย และการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐในการวางรากฐาน จนทำให้ทุนจีนเทาสามารถดำเนินการอยู่ได้ในประเทศไทยและแทรกซึมไปกับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง ไปจนถึงระบบและวิธีคิดของผู้คนในสังคมที่ทำให้เกิดความคุ้นเคยและคุ้นชินกับทุนจีนเทาโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ บริบทของประเทศไทยที่ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของทุนจีนเทา ยังเป็นเรื่องของลักษณะและสภาพบริบททางสังคมบางประการที่เอื้อให้ทุนจีนเทาเหล่านี้เติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบเส้นสายแบบไทย การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สม่ำเสมอ และระบบตรวจสอบที่ขาดความโปร่งใส ซึ่งบริบทต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกอธิบายโดยอาศัยแนวคิดเรื่อง “ความคล้ายคลึงของโครงสร้าง” (Isomorphism) จากมุมมองของสังคมวิทยาองค์การ ที่อธิบายถึงการพัฒนาขององค์กรหรือระบบต่างๆ ว่ามีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางที่คล้ายคลึงกัน เมื่ออยู่ในบริบทแวดล้อมหรือโครงสร้างที่ใกล้เคียงหรือเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ผ่านการเติบโตของทุนจีนเทาในสังคมไทยแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่โครงสร้างของรัฐแบบไทยและจีนมีความคล้ายคลึงกันในบางประการ เช่น ระบบอุปถัมภ์ หรือการควบคุมของรัฐที่ขาดความโปร่งใสในการบริหารจัดการ ก็นับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุนจีนเทาเหล่านี้สามารถลงหลักปักฐานได้ในประเทศไทย ทั้งยังปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมและพื้นที่ที่ทุนจีนเทาเข้าไปแทรกซึมอยู่ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยได้อย่างแยบยล

ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะความคล้ายคลึงของบริบทที่เกิดจากความใกล้เคียงเชิงโครงสร้างระหว่างรัฐไทยและจีนเท่านั้นที่เอื้อให้ทุนจีนเทาสามารถเติบโตได้ในประเทศไทย แต่มุมมองดังกล่าวยังได้อธิบายถึงทุนจีนเทาที่มีความสามารถในการ “เลียนแบบ” ให้เข้ากับระบบของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี เช่น กลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ทุนจีนเทาใช้ในการกลืนกลายตัวเองให้เข้ากับสังคมที่เข้าไปดำรงอยู่ คือ การสร้างภาพลักษณ์ (Legitimacy Construction) ที่นอกเหนือจากความสามารถในการแทรกซึมทางเศรษฐกิจแล้ว ทุนจีนเทายังมีกระบวนการที่เข้าไปฝังรากลึกในระบบวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยมของสังคมต่างๆ เช่น การก่อตั้งสมาคมวัฒนธรรมจีน การบริจาคเงินและกิจกรรมการกุศลต่างๆ หรือแม้กระทั่งการสร้างสายสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงของไทย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ทุนจีนเทามีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและสามารถแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นจากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการเหล่านี้

และปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ทุนจีนเทาสามารถขยายอิทธิพลไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทุนจีนเทากับรัฐบาลจีน ที่เกิดขึ้นโดยที่ทุนจีนเทาได้วางภาพลักษณ์ของตนเองให้อยู่ในแนวทางที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลจีนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การพัฒนาระดับโลกของจีนที่เน้นสร้างการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อันจะเป็นการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอื่นๆ หรือแม้กระทั่งแนวคิดเรื่องหลักการจีนเดียว (One China principle) ที่เป็นจุดยืนสำคัญทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐบาลจีนยุคปัจจุบัน ซึ่งการยอมรับและปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาลจีนของทุนจีนเทาเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลจีนเลือกที่จะ “ปิดตาข้างหนึ่ง” ต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาจากการแพร่ขยายของทุนจีนเทาที่เกิดขึ้นในรัฐปลายทางด้วยเช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการศึกษาในเรื่องทุนจีนเทาผ่านมุมมองของสังคมวิทยาในที่นี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองต่อทุนจีนเทาที่ไม่ได้จำกัดอยู่ภายใต้การมองทุนจีนเทาเป็นสิ่งที่มีตัวตนที่แปลกแยกไปจากบริบทของสังคมไทย แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าทุนจีนเทานั้นมีความสามารถที่จะวางตัวให้สอดคล้องและสอดรับเข้ากับระบบของไทยได้อย่างแนบเนียน ผ่านมิติของการวิเคราะห์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ อำนาจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของการแก้ไขปัญหาทุนจีนเทาในอนาคต ที่เราจะต้องพิจารณาและทำความเข้าใจถึงโครงสร้างและเครือข่ายที่ทับซ้อนและมีอยู่ในสังคมไทยเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายและมาตรการที่สามารถรับมือกับทุนจีนเทาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาจากปัญหาของทุนจีนเทาได้บนพื้นฐานของความเข้าใจในความซับซ้อนของปฏิบัติการทุนจีนเทาในสังคมไทย

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

เจษฎา จงสิริจตุพร

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย

จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

You might also like...

KRAC Insight | เมื่อวัดต้องมีระบบ: เพราะศรัทธาต้องการมากกว่าแค่ความเชื่อ

ตั้งแต่เรื่องเงินวัด สีกา ยันการทุจริต “วัดควรบริหารจัดการอย่างไรให้โปร่งใส?” และ “ใครควรรับผิดชอบ?” ชวนหาคำตอบไปกับ KRAC Expert “คุณสุภอรรถ โบสุวรรณ”

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | จากศรัทธาสู่เงินทอน เมื่อวัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงินทุจริต

เมื่อศรัทธาและเงินสนับสนุนกลายเป็นช่องทางฟอกเงิน ค้นพบเบาะเเสสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบได้ในบทความนี้

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | “เดนมาร์ก” ประเทศที่ยืนหนึ่งเรื่องความโปร่งใส แบบไม่พึ่งพาหน่วยงานต่อต้านทุจริต

หากพูดถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน หลายคนคิดว่าจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่นี้โดยตรง แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในประเทศที่ติดอันดับโปร่งใสเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง “เดนมาร์ก” กลับไม่มีหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเฉพาะแบบประเทศไทย