การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นการทุจริตที่พบมากที่สุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 โดยพบว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลเมืองมีระดับความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตมากที่สุดเมื่อพิจารณาตามประเภทองค์การ
จากสถิติคำกล่าวหาการทุจริตที่ถูกส่งมายังสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 พบว่า พื้นที่ในเขตสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 มีคำกล่าวหาจำนวน 388 เรื่อง ซึ่งสูงกว่าพื้นที่อื่นเมื่อไม่นับรวมส่วนกลาง โดยหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คิดเป็นร้อยละ 66.24
จากสาเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่มาของวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ คือ
- เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ และกระบวนการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาค 4
- เพื่อวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงต่อการทุจริตของบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ภาค 4
- เพื่อเสนอแนวทางและข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริต การให้ความรู้ในประเด็นที่เป็นจุดอ่อนขององค์กรปกครองส่วนถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริตและสามารถบริหารงานที่โปร่งใสได้
ผลการศึกษา พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2565 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาค 4 พบการทุจริตจำนวน 335 เรื่อง โดย 3 อันดับแรกคือ การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้าง ร้อยละ 57.31 การทุจริตในการบริหารงานบุคคล ร้อยละ 21.49 และการทุจริตเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงิน การนำฝาก การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของราชการ ร้อยละ 15.22
เมื่อพิจารณาระดับความเสี่ยงต่อการทุจริตในการปฏิบัติงาน พบว่าภาพรวมมีระดับความเสี่ยงต่อการทุจริตน้อย แต่เมื่อพิจารณาตามประเภทองค์การกลับพบว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาลเมือง มีระดับความเสี่ยงต่อการทุจริตอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างมีคะแนนความเสี่ยงสูงที่สุด
สรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัย
- ปัญหาการทุจริต: ระหว่างปีงบประมาณ 2562-2565 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาค 4 ถึง 1,448 เรื่อง โดยมีปัญหาหลักมาจากการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารงานบุคคล ซึ่งมีการชี้มูลการทุจริตถึง 335 เรื่อง
- ระดับความเสี่ยงต่อการทุจริต: โดยรวมพบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระดับความเสี่ยงต่อการทุจริตอยู่ที่ 7.20 คะแนนจาก 25 คะแนน ซึ่งจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ หมายถึง ไม่ต้องมีมาตรการ ควบคุมความเสี่ยงเพิ่มเติม แต่ควรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงในองค์กร และเมื่อพิจารณาตามประเภทองค์กร พบว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลเมืองมีความเสี่ยงสูงที่สุด ในขณะที่เทศบาลนครและเทศบาลตำบลมีความเสี่ยงต่ำกว่า
- ปัจจัยแห่งความสำเร็จ: ความสำเร็จในการบริหารจัดการขึ้นอยู่กับผู้บริหารท้องถิ่นที่มีภาวะความเป็นผู้นำ มีวิสัยทัศน์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ซึ่งช่วยสร้างนวัตกรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่
สรุปข้อเสนอแนะจากงานวิจัย
- มาตรการในระยะสั้น: ควรมีการกำหนดนโยบายโดยมุ่งเน้นให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นควรมีการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง และควรนำระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงาน
- มาตรการระยะปานกลางและระยะยาว: ควรมีการปลูกจิตสำนึกให้กับผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการประจำทุกระดับ โดยการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน และควรมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและยุติธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติในการลงโทษผู้กระทำความผิด
เสาวณีย์ ทิพอุต, ฉันท์ชนก เจนณรงค์ และ ธีรวรรณ เอกรุณ. (2566). การทุจริตและระดับความเสี่ยงต่อการกระทำการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาค 4. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
- เสาวณีย์ ทิพอุต
- ฉันท์ชนก เจนณรงค์
- ธีรวรรณ เอกรุณ
หัวข้อ
โครงการสำรวจการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย
ศึกษาและสํารวจข้อมูลระดับการรับรู้ของเจ้าหนาที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีต่อความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เพื่อลดพฤติกรรมความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ในอนาคต
โครงการศึกษาฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อออกแบบยุทธศาสตร์ในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์จากกรมบัญชีกลาง จำนวน 40,000 โครงการ และนำมาจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โครงการประสานงานวิจัยและส่งเสริมศักยภาพเครือข่ายเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน
การออกแบบกระบวนการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล จำเป็นจะต้องเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งจากมุมมองที่หลากหลาย และบริบทรอบด้านที่เป็นทั้งปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหานี้