คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : เมืองไทย เมืองพุทธ เมื่อศรัทธาของชาวบ้านถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์ส่วนตัว

“เมืองไทย เมืองพุทธ”

“วัดไทยคือหัวใจของชุมชน”

“พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”

หลายๆ คนที่ได้อ่านน่าจะคุ้นชินกับชุดคำเหล่านี้ เพราะคนไทยกับศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาช้านานตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ศาสนาพุทธกับการมีอยู่ของวัดและพระสงฆ์เองก็มีบทบาทสำคัญที่เป็นศูนย์กลางดำรงชีวิตของคนไทยเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนาที่เผยแพร่หลักธรรมคำสอน การศึกษาให้กับคนในชุมชน หรือแม้กระทั่งการบริหารชุมชนร่วมกันกับวัด ถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้เปลี่ยนไปจนบทบาทของวัดอาจจะเหลือแค่เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเผยแพร่คำสอนของศาสนา แต่สัดส่วนชาวพุทธต่อศาสนาอื่นๆ มากกว่าร้อยละ 90 ของคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่เกินจริง ถ้าจะบอกว่าเมืองไทย คือเมืองพุทธ

ศาสนาพุทธที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยในอดีต แล้วย้อนกลับมาปัจจุบันนี้มีสิ่งที่น่าสนใจ คือทุกคนคงจะเห็นข่าวโกงต่างๆ ในวัดที่เกิดขึ้นโดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงมามีส่วนร่วม เช่น ข่าวเจ้าอาวาสวัดดังแห่งหนึ่งยักยอกทรัพย์เงินบริจาคของวัดเป็นจำนวนหลายล้านเพื่อเอาไปช่วยสีกา พระโกงเงินสร้างตึกของวัดเป็นจำนวนหลักร้อยล้าน เพื่อเอาไปใช้หนี้พนันของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเป็นข่าวดังและคนในประเทศไทยก็ให้ความสนใจ แล้วผมยังเชื่ออีกว่ายังมีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นในวัดอื่นๆ แต่ยังไม่ถูกนำเสนอออกมาเป็นข่าว แน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้สร้างความเสียหายหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการก่อสร้างที่ชาวบ้านมีความตั้งใจอนุโมทนาบุญในการบริจาค ความเชื่อมั่นที่มีต่อวัดรวมถึงการทำลายภาพลักษณ์ของศาสนาพุทธในประเทศไทย ปัญหาเหล่านี้มีปัจจัยที่คล้ายคลึงกันนั้นล้วนมาจาก “เงินบริจาค” ที่มาจากแรง “ศรัทธา” ของชาวบ้านบริจาคด้วยวิธีต่างๆ ในกรณีตัวอย่างมีทั้งการลักลอบขโมยเงินบริจาคจากตู้วัด การที่พระสงฆ์โอนเงินสร้างตึกเข้าบัญชีตัวเองแทนที่จะเป็นบัญชีวัด เป็นต้น ในแต่ละเคสข่าวที่เจอจำนวนเงินที่ถูกโกงนั้นเยอะมากเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักร้อยล้านได้เลย ไม่ได้บอกว่า พระสงฆ์มีเงินในบัญชีธนาคารส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องผิด เพราะว่าสมัยนี้ก็พระสงฆ์เองก็ถูกเชิญไปรับกิจนิมนต์ตามสถานที่ต่างๆ ตามที่ญาติโยมขอมา ซึ่งก็จะมีเงินบริจาคให้พระสงฆ์อยู่แล้วซึ่งก็ได้มีการปรับวิธีการปฏิบัติตรงให้สอดคล้องกับยุคสมัย อย่างไรก็ตามพระสงฆ์ก็ไม่ควรจับเงินโดยตรงก็ต้องมีไวยาวัจกรดูแลอีกทีเพราะว่าจะเป็นการละเมิดพระวินัยที่เรียกว่า “นิสสัคคิยปาจิตตีย์” เพราะอาจทำให้เกิดความยึดติดหรือเบี่ยงเบนจากการดำรงชีวิตแบบสมถะอย่างที่พระสงฆ์ควรจะเป็น

ว่าด้วยเรื่องแต้มบุญบาปประเด็นนี้น่าสนใจมาก ผมเคยเจอหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ในเล่มนั้นก็จะมีบทสวดต่างๆ ที่ใช้ประกอบพิธีในวัดตามปกติ สิ่งที่แตกต่าง คือ มีบทที่เขียนระบุพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดบุญและบาปโดยมีการระบุจำนวนแต้มบุญบาปไว้ว่าทำสิ่งนี้แล้วจะได้แต้มบุญบาปเท่าไหร่ เช่น เก็บขยะไปทิ้งได้ 3 บุญ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้ 200 บาป เป็นต้น ซึ่งในเล่มจริงๆ มีระบุพฤติกรรมไว้ละเอียดมาก ถ้าใครเคยได้อ่านบ้างก็มาแชร์กันได้นะครับ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มันก็ควรจะเป็นแบบนี้ก็ถูกแล้วครับ แต่ทว่าสิ่งที่อยากชวนคิด คือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำอะไรบางอย่างเพื่อหวังได้บุญโดยไม่สนอะไรเลย เช่น เราปล่อยปลาที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์เพื่อหวังเอาบุญแต่ทว่าปลาเหล่านั้นไปทำลายระบบนิเวศส่งผลต่อผลให้สัตว์น้ำตัวอื่นเดือดร้อนแบบนี้เราจะได้บุญหรือไม่ หรือการที่เวลาเราเข้าวัดมักจะมีการจับสัตว์มาขังเพื่อให้ชาวบ้านมาทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา ทั้งที่สัตว์เหล่านั้นอยู่ในบ้านของมันอยู่ดีๆ แต่ต้องถูกจับมาขายเพื่อแลกให้กับคนที่มาทำบุญ คิดอีกทีแล้วดูเหมือนมันเป็นการหาผลประโยชน์โดยหวังพึ่งศรัทธาของคนหรือไม่

แก่นแท้ของศาสนาพุทธมีเพียงแค่เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ผ่านหลักคำสอนต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทิ้งไว้ให้ปฏิบัติตาม ถ้าบอกตามความจริงคงเป็นไปได้ยากในยุคนี้ที่จะละกิเลสต่างๆ เพื่อให้บรรลุตามแก่นแท้ของศาสนา เนื่องจากทุกคนต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ซึ่งมีทฤษฎีจิตวิทยาสนับสนุนอยู่ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีโลโกเทอราพี (Logotherapy) ของแฟรงเคิล ที่มีใจความสำคัญว่า “คนที่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ สามารถเผชิญความทุกข์ยากได้ดีกว่า” จริงๆ ทุกวันนี้ฟัง Podcast เกี่ยวกับการประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ก็ต้อง Podcast ที่ต้องมีเป้าหมายเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้ไปถึงเป้าหมายเช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่คนนับถือศาสนาพุทธยึดติดเรื่องบุญบาปก็ไม่ใช่เรื่องผิดใหญ่โตอะไรเพียงแต่ว่า สิ่งนี้นั้นกลายมาเป็นช่องโหว่ที่ถูกนำมาใช้หาผลประโยชน์ต่างๆ ตามกรณีที่ได้ยกตัวอย่างไปข้างต้น ซึ่งขอออกตัวก่อนว่าการที่มีคนตั้งใจทำบุญไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ แค่ว่าอาจจะดูเพิ่มเติมว่าแรงบุญที่เราส่งไปมันเป็นยังไงต่อ อย่างกรณีโกงเงินค่าก่อสร้างตึกใหม่ในวัดที่ถูกจับได้เพราะโครงการที่ทำอยู่ถูกหยุดลงกะทันหันเป็นเดือน จนชาวบ้านสังเกตได้แล้วก็สืบกันจนรู้ความจริง

ในบทความนี้ไม่ได้โจมตีหรือกล่าวโทษพระสงฆ์หรือศาสนา เพียงหยิบตัวอย่างการโกงใกล้ตัวที่มีข่าวเกิดขึ้นบ่อยมากและมีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก รวมถึงเสียภาพลักษณ์ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นต่อศาสนาเช่นกัน ซึ่งจะบอกว่าเรื่องที่ดีเกี่ยวกับศาสนาก็มีให้เล่าอยู่อีกมากมายแต่เพียงแค่ว่าศรัทธาหรือความตั้งใจดีของคนนั้นถูกนำมาใช้เพื่อหาผลประโยชน์ต่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าระเบียบการบริหารกิจกรรมในวัดควรเปิดโอกาสให้มีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและติดตามการดำเนินกิจกรรมภายในวัดด้วย เพื่อให้กิจกรรมที่เกิดขึ้นมีการดำเนินงานที่โปร่งใส ชาวบ้านสามารถเข้ามาติดตามได้ แล้วผมคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นกลไกที่ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการโกงเงินวัด และเมื่อไม่มีช่องโหว่ให้โกง ก็จะไม่มีใครที่จะมาหาผลประโยชน์จากส่วนนี้ได้ เราชาวพุทธจะทำบุญกันอย่างสบายใจและส่งความตั้งใจที่ทำบุญไปนั้นเกิดผลบุญจริงๆ

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ฐากร สีใสภูวเดช

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อยากแก้ปัญหาปากท้องก่อน แต่ถ้าไม่ปฏิรูปตำรวจ ก็แก้ยาก !

ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มืดเทา อาจเป็นคำนิยามวงการตำรวจไทยในปัจจุบัน ? หากเราพูดถึงวงการตำรวจ หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงเรื่องที่ตำรวจดันไปเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมกับการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมูเถื่อน กำนันนก ทุนจีนสีเทา หรือข่าวอาชญากรรมต่าง ๆ แทนที่จะมองว่า ตำรวจคือผู้ที่รักษาความสงบให้บ้านเมือง และคุ้มครองประชาชนให้รู้สึกปลอดภัย

You might also like...

KRAC Insight | การเพิ่มขีดความสามารถภาครัฐ และลดคอร์รัปชัน ในฐานะ “นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม”

KRAC ชวนทุกท่านร่วมเจาะลึกนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกของภาครัฐ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก

KRAC Insight x C4 Centre | ความเสี่ยงต่อการเกิดคอร์รัปชันที่แฝงอยู่ในรูปแบบของการจัดซื้อจัดจ้างที่หลากหลาย

รู้หรือไม่? การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีหลายรูปแบบ และในแต่ละรูปแบบก็ซ่อน “ความเสี่ยงคอร์รัปชัน” ไว้ต่างกัน! KRAC ร่วมกับ C4 Centre มาเลเซีย เปิดเผยประเด็นร้อนจากเวทีประชุมระดับภูมิภาค SEA-ACN ว่าความเสี่ยงคอร์รัปชันซ่อนอยู่ใน PPP, PFI, G2G, Strategic Partnership รวมถึงการจัดซื้อในสถานการณ์ฉุกเฉินอีกด้วย

KRAC Extract | คอร์รัปชันหลังเเผ่นดินไหว: โอกาสแห่งการฟื้นตัวหรือประตูสู่การทุจริต

คอร์รัปชันหลังแผ่นดินไหว…เมื่อเงินฟื้นฟูหลั่งไหล แต่ความโปร่งใสกลับหายไป! กรณีศึกษาจากตุรกี ที่เผยให้เห็นว่าภัยพิบัติอาจเปิดช่องให้การทุจริตแทรกซึมได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดการหลังภัยพิบัติ บทเรียนนี้ไม่ใช่แค่ของต่างประเทศ แต่คือสัญญาณเตือนที่ไทยก็ต้องระวังเช่นกัน!