
กระบวนการเสริมสร้างความรู้และควบคุมคอร์รัปชันโดยพระสงฆ์จำเป็นต้องเน้นย้ำทั้งหลักพระธรรมวินัยและหลักกฎหมาย เพื่อการป้องกันและการควบคุมการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสริมสร้างความร่วมมือและควบคุมการทุจริตโดยพระสงฆ์ 2) วิเคราะห์การเสริมสร้างความร่วมมือและควบคุมการทุจริตโดยพระสงฆ์ และ 3) ศึกษาการเสริมสร้างความร่วมมือและควบคุมการทุจริตโดยพระสงฆ์
การศึกษาครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ค้นคว้าพระไตรปิฎก วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย ตําราทางวิชาการ และวารสาร และมีพระสงฆ์ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ 5 รูป
ผลการศึกษา พบว่า การเสริมสร้างความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการทุจริตโดยพระสงฆ์ต้องอาศัยพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมและวุฒิภาวะ ซึ่งควรได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรการต่อต้านทุจริตเพื่อเสริมสร้างความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม นอกจากนี้ พระสงฆ์ยังมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาแก่ชุมชนในเรื่องการต่อต้านทุจริตผ่านโครงการฝึกอบรมหลักศีลธรรม สำหรับวิธีการป้องกันและควบคุมการทุจริต ควรดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารที่กำหนดหลักสูตรตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย
รูปแบบ APA
อนุชา พละกุล. (2561). กระบวนการเสริมสร้างความรู้และควบคุมคอร์รัปชันโดยพระสงฆ์จังหวัดเพชรบุรี. วารสารสังคมพัฒนศาสตร์, 1(1), 1–10.

อนุชา พละกุล
หัวข้อ
โครงการวิจัยและประสานงานเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน
เพื่อออกแบบงานวิจัยสำหรับแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงพัฒนาระบบและเครื่องมือใหม่ในการป้องกันและลดคอร์รัปชันในระดับพื้นที่
โครงการวิจัยเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน ระยะที่ 2
จัดทำข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยเน้นแนวทางการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชันจากมุมมองของประชาชน ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (PAR) และกระบวนการ Design Thinking เต็มรูปแบบ
โครงการวิจัยการสังเคราะห์รูปแบบ กลไกและแนวทางการปลูกฝังเจตคติและวัฒนธรรมสุจริตเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ศึกษาพัฒนาการของรูปแบบ กลไก และแนวทางการปลูกฝังเจตคติ และวัฒนธรรมสุจริตที่มีผลต่อการป้องกันการทุจริตของไทย และศึกษากรณีของต่างประเทศ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะต่อไป