งานวิจัยนี้ จะพาไปทำความเข้าใจรูปแบบ คุณลักษณะ และวิธีการดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือโครงการของรัฐเพื่อหาวิธีการเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้น
เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐและโครงการของรัฐมีหลายประเภท และมีความแตกต่างกันในการดำเนินงาน จึงจำเป็นต้องเข้าใจรูปแบบ คุณลักษณะ และวิธีการดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ
อีกทั้ง ต้องมีการศึกษาวิจัยในเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบาย มาตรการ และโครงการของภาครัฐที่ดำเนินการตามบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งระบุผลกระทบและความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดจากนโยบายมาตรการและโครงการที่ดำเนินการอยู่ เพื่อเสนอทางเลือกที่จะสนับสนุนให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล และป้องกันปัญหาการทุจริต เพื่อให้สำนักงาน ป.ป.ช. นำเสนอนโยบายและมาตรการต่อฝ่ายบริหารของประเทศต่อไป
จากสาเหตุดังกล่าว จึงนำมาสู่วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้ คือ
เพื่อศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์นโยบาย มาตรการ หรือโครงการที่ดำเนินการอยู่ในการพัฒนา และการแทรกแซงการทำงานของระบบเศรษฐกิจสังคมภาคต่าง ๆ ของรัฐบาล
2. เพื่อศึกษาวิเคราะห์นโยบาย มาตรการ หรือโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงต่อการทุจริตของการดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ รวมถึงรูปแบบและกระบวนการทุจริตทั้งหมด
3. เพื่อศึกษาขอบเขตและขนาดของความเสียหายโดยการประมาณการขนาดความเสียหายอันเนื่องมาจากนโยบาย มาตรการ หรือโครงการที่ดำเนินการอยู่ ที่เลือกเป็นกรณีศึกษา
4. เพื่อศึกษาและเสนอแนะรูปแบบ การดำเนินงานที่มีธรรมาภิบาลสำหรับนโยบาย มาตรการ หรือโครงการที่ศึกษาพร้อมออกแบบแนวทางในการป้องกัน หรือลดช่องทางในการทุจริตทั้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักการเมือง และบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง
ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการเฝ้าระวังและการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายมีความเชื่อมโยงในหลายมิติในทางสังคม กฎหมาย และตัวบุคคล ซึ่งหากนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้วจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีรายละเอียดที่ต้องวิเคราะห์อยู่หลายประการ
สรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัย
- จากการศึกษา พบว่า ประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบาย มาตรการ และโครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาสามารถสรุปแยกออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
- ช่วงที่ 1 ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นยุคสมัยที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงได้กำหนดนโยบายการบริหารประเทศไว้ 2 ส่วน คือ นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และนโยบายทั่วไปอื่น ๆ ที่เหลือที่จะดำเนินการในช่วงระยะ 4 ปีของรัฐบาล โดยสามารถแบ่งเป็นด้านที่สำคัญ 5 ด้าน ด้านที่ 1 การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย ด้านที่ 2 ด้านการบริหารเศรษฐกิจ ด้านที่ 3 การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านที่ 4 การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม และด้านที่ 5 การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง
- ช่วงที่ 2 ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศหรือแผนที่นำทาง (Road Map) ไว้ 3 ระยะ ระยะแรกเป็นช่วงที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศโดยมุ่งระงับยับยั้งความแตกแยก ระยะที่สองคือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เพื่อเป็นกลไกสำหรับการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบ และระยะที่สาม คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและการจัดการเลือกตั้งทั่วไป
- ช่วงที่ 3 ในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดมั่นในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ผลการศึกษานโยบาย มาตรการ และโครงการที่ผ่านมาของรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลปัจจุบัน พบว่านโยบายขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ อย่างไรก็ตามโครงการขนาดใหญ่ที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัยมีความเสี่ยงในการทุจริตเชิงนโยบาย และบางนโยบายในบางรัฐบาล ศาลได้มีการตัดสินเป็นที่สุดให้เป็นนโยบายที่เกิดการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ ที่ใช้งบประมาณมาก เนื่องจากบางโครงการไม่เป็นตามหลักธรรมาภิบาลหลายประการ เช่น 1) ขาดความโปร่งใส 2) ไม่สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) 3) ขาดความเสมอภาค (Equity) และขาดการควบคุมการทุจริต (Control of Corruption) และ 4) ขาดการมีส่วนร่วม
- จากการศึกษา พบว่า โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด และโครงการโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นโครงการที่มีโอกาสเกิดการทุจริตมากที่สุด โดยประเมินจากผลการวิเคราะห์ขนาดความเสียหายและขอบเขตความเสียหายจากกรณีโครงการโดยอาศัยความน่าจะเป็นจากผู้ทรงคุณวุฒิแล้วจำลองข้อมูลเพื่อวิเคราะห์
สรุปข้อเสนอแนะจากงานวิจัย
- ขั้นการก่อตัวเชิงนโยบาย ควรมีการปรับปรุงข้อห้ามในการใช้นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่ต้องห้ามให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งควรมีบทบาทในการวินิจฉัยและกำหนดบทลงโทษ บุคคลหรือพรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนข้อห้ามในการหาเสียงได้ด้วย
- ขั้นการกำหนดนโยบาย ควรกำหนดมีให้การแถลงนโยบายต่อรัฐสภามีการลงมติในรายประเด็นเพื่อใช้กลไกทางรัฐสภาในการตรวจสอบการกำหนดนโยบายของฝ่ายบริหาร และกำหนดให้สำนักงบประมาณของรัฐสภาทำหน้าที่ในการวิเคราะห์นโยบายเพื่อพิจารณาความคุ้มค่าของงบประมาณกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยมีการถ่ายทอดสดทางทีวี วิทยุ หรือสื่ออื่นเพื่อให้ประชาชนได้รับฟังข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้ประชาบนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
- ในกรณีดำเนินโครงการขนาดใหญ่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งต้องเป็นประชาชนโดยรวม โดยมีหลักเกณฑ์สนับสนุนงบประมาณ และการใช้งบประมาณที่ชัดเจน และเป็นธรรม แนวทางการพิจารณาโครงการจะต้องไม่เอื้อกลุ่มทุน พวกพ้องหรือฐานเสียงทางการเมืองจนประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง
- มีการเปิดเผยข้อมูลตลอดการดำเนินโครงการ ประชาชนสามารถติดตามการดำเนินงานความก้าวหน้า และสามารถมีช่องทางในการแจ้งเบาะแสการทุจริตหรือส่อไปในทางการทุจริต
จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ, อิศรัฏฐ์ รินไธสง, มิตรชัย จงเชี่ยวชำนาญ, นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า และสิริวิท อิสโร. (2565). โครงการเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตจากนโยบายและโครงการของรัฐ. สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.
- ผศ.ดร.จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ
- ดร.อิศรัฏฐ์ รินไธสง
- รศ.ดร.มิตรชัย จงเชี่ยวชำนาญ
- ผศ.ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า
- ดร.สิริวิท อิสโร
หัวข้อ
โครงการเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตจากนโยบายและโครงการของรัฐ
งานวิจัยนี้ จะพาไปทำความเข้าใจรูปแบบ คุณลักษณะ และวิธีการดำเนินนโยบาย มาตรการ หรือโครงการของรัฐเพื่อหาวิธีการเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้น
โครงการศึกษาเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์จากการอนุญาต โดยใช้อำนาจรัฐ
ศึกษาการตรวจสอบดุลพินิจของฝ่ายปกครองในการออกใบอนุญาต และศึกษากฎหมายต่างประเทศเพื่อเสนอแนะมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากการอนุญาตโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต: การแสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
เพื่อประมาณการต้นทุน รายรับ การขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคมของโครงการรับจํานําข้าวเปลือก และประมาณการผลตอบแทนส่วนเกินที่ตกแก่กลุ่มบุคคลต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์การแสวงหาค่าเช่า และศึกษาการทุจริตของผู้ที่เกี่ยวข้อง