คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : โปรดช่วยดูแลหัวใจที่กำลังจะร่วงหล่นก่อนถึงวันแหลกสลาย

กว่า 970 ล้านคนทั่วโลกที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งถือเป็นประชากร 1 ใน 8 ของประชากรทั่วโลก สถานการณ์ดังกล่าวรุนแรงขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับวิกฤต COVID-19 ที่ส่งผลให้คนเกิดภาวะความเครียดและได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่พบผู้ป่วยจิตเวชมารับบริการมากขึ้น จากจำนวน1.3 ล้านคนในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งปัจจุบันปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่หลายประเทศให้ความสำคัญ และพยายามหาแนวทางในการป้องกัน และการแก้ไข

หากทุกคนหันมามองสถานการณ์ในสังคมไทยจะเห็นได้ว่า เราทุกคนอยู่ในสังคมที่สะสมความเครียด ความวิตกกังวลในจิตใจอยู่ตลอดเวลา และผู้ป่วยสุขภาพจิตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโรคซึมเศร้า (Depression) ถือเป็นโรคทางจิตเวชอันดับ 1ที่คนไทยเป็น ซึ่งจากข้อมูลศูนย์ความรู้โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต พบว่า มีคนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอย่างน้อย 1.5 ล้าน ซึ่งในผู้ป่วย 100 คน สามารถเข้าถึงการรักษาได้เพียง 28 คนเท่านั้น และในรายที่รุนแรงจะนำไปสู่การพยายามฆ่าตัวตาย และความอันตรายคือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า โดยคนไทยฆ่าตัวตายเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน และเสียชีวิตราว 4,000 คนต่อปี ด้วยสาเหตุหลัก คือ ภาวะซึมเศร้า

จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ว่าจำนวนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงอัตราการฆ่าตัวตายมีแนวโน้มที่สูงขึ้น และคาดว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพแวดล้อม และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบให้ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาทางจิตใจที่แตกต่างกัน ซึ่งถึงแม้ว่าปัญหาสุขภาพจิตจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล และหลายคนอาจคิดว่าเป็นปัญหาปัจเจก แต่จริงๆ แล้วมันกลับส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในระดับสังคมด้วย เช่น อัตราการเกิดอาชญากรรมภายในสังคม ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพจิตและการเข้าถึงบริการและการรักษาจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการยกระดับและเร่งแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน

แต่รอนาน ๆ ก็อาจจะบั่นทอนจิตใจ เมื่อการรักษาสุขภาพจิต เข้าถึงได้ยากและใช้เวลานานเกินกว่าจะรอไหว

ท่ามกลางสถานการณ์ของปัญหาสุขภาพจิตที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง คนไทยกลับยังเข้าถึงบริการดูแลรักษาสุขภาพจิตได้ยากและไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบันมีการกำหนดให้ผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์หรือจิตแพทย์ก่อนถึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ จำนวนผู้ป่วยสุขภาพจิตนั้นเพิ่มสูงขึ้นแต่จำนวนจิตแพทย์ที่มีไม่เพียงพอกับการรักษา เพราะมีจิตแพทย์อยู่เพียง 845 คนเท่านั้น หรือ 1.28 คนต่อ 1 แสนประชากร

ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการพัฒนาเพื่อหาแนวทางรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำในเชิงพื้นที่ด้วยที่จิตแพทย์มักจะกระจุกตัวอยู่ตามจังหวัดใหญ่ เช่น ในกรุงเทพฯ ที่มีจิตแพทย์ประจำอยู่ถึง 275 คน ซึ่งหากเทียบกับจังหวัดในเขตอีสานตอนบนที่มีอยู่เพียง 27 คนเท่านั้นก็จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก นอกจากปัญหาในการเข้าถึงเชิงพื้นที่ และสัดส่วนของจิตแพทย์ต่อจำนวนประชากรแล้ว ยังพบปัญหาในแง่ของระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงการรักษาด้วยเช่นกัน เพราะหากอยากพบจิตแพทย์ตามโรงพยาบาลรัฐก็ต้องต่อคิวและใช้เวลาในโรงพยาบาลมากกว่า 5 ชั่วโมง บางที่ต้องรอนัดแพทย์ถึง 6 เดือนหรือข้ามปีถึงจะได้รับการวินิจฉัยและทำการรักษา แต่ถ้าจะไปโรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง อัตราการเข้าพบแพทย์ราว 1,000-5,000 บาท ปัญหาเหล่านี้จึงทำให้ไม่เอื้อกับการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีคุณภาพ และทันท่วงทีทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพียง 2.9 ล้านคน จากข้อมูลความชุกของประชาชนผู้มีปัญหาสุขภาพจิตที่มีจำนวนสูงถึง 10 ล้านคน

พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตป้องกันหัวใจที่ร่วงหล่น

ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาท้าทายระดับสากล และทั่วโลกยังคงหาแนวทางในการรับมือกับโรคทางใจที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการดูแลสุขภาพจิตในต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะขยายพื้นที่ดูแลนอกเหนือจากในโรงพยาบาล และมีทางเลือกที่หลากหลายให้กับกลุ่มคนต่างๆ มากขึ้น เช่น การเข้าถึงการปรึกษาหรือการรักษาผ่านแอปพลิเคชั่น และแนวคิดที่สำคัญคือการดูแลไปทีละขั้น ตั้งแต่การส่งเสริมให้ทุกคนสามารถดูแลจิตใจของตัวเองได้ การมีนักบำบัดขั้นต้นและนักจิตวิทยาที่เข้าถึงได้ง่ายและใกล้บ้านเพื่อช่วยดูแลอาการเจ็บป่วยทางใจตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยไทยสามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ได้โดยการส่งเสริมให้มีคลินิกจิตเวชระดับชุมชนเชิงรุกมากยิ่งขึ้น พัฒนาแพลตฟอร์มในการตรวจจับปัญหาสุขภาพจิตในระยะเริ่มต้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

นอกจากนี้จากปัญหาจิตแพทย์ไม่เพียงพอต่อการรักษา ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางในการเพิ่มการผลิตจิตแพทย์สุขภาพจิตและยาเสพติดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันผลิตจิตแพทย์ให้ได้ 400 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี รวมถึงเพิ่มการกระจายบริการให้ประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพจิตเข้าถึงบริการใกล้บ้านได้อย่างทั่วถึง ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าหากเกิดขึ้นได้จริงจะส่งผลดีให้กับประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ควรมีแนวทางในการส่งเสริมบทบาท สนับสนุนทรัพยากร ระยะเวลาการทำงาน และค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่นักวิชาชีพจิตวิทยาสาขาต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ และสร้างแรงจูงใจให้แก่คนทำงานด้วยเพราะถึงแม้จิตแพทย์จะมีหน้าที่รักษาใจผู้อื่นแต่ก็ต้องเยียวยาหัวใจตัวเองด้วยเช่นกัน

พัฒนาเมืองพร้อมโอบรับสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม

นอกจากการเข้าถึงบริการดูแลรักษาสุขภาพจิตแล้ว สภาพแวดล้อมภายในเมืองที่เป็นที่อยู่อาศัยก็มีความสำคัญเช่นกัน จึงควรมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดี เพิ่มพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียวซึ่งเป็นแนวทางที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน มีพื้นที่ให้คนที่ใช้ชีวิตคนเดียวได้พบปะกับคนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวล ความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้เพราะปัญหาที่ประชาชนต้องพบเจอในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความกดดันในการใช้ชีวิตและการทำงาน ความยากจน มลภาวะต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดและนำไปสู่อาการป่วยทางจิตได้ หากเรามีพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจทำให้เราได้หยุดพักจากความเร่งรีบ ได้ใช้เวลาสร้างความสุขและเพิ่มพลังใจให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

“ปัญหาสุขภาพจิต” จึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สังคมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะหากผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และทันท่วงที หรือมีเมืองที่พร้อมจะโอบรับการใช้ชีวิตของประชนได้ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งด้านสุขภาวะของประชาชน รวมถึงปัญหาทางสังคม และเศรษฐกิจที่อาจยากเกินแก้ไข

ดังนั้น เราควรตั้งคำถาม และตั้งความหวังว่าในอนาคตระบบสาธารณสุขไทยและเมืองของเราจะโอบรับหัวใจของประชาชนที่ยังมีความหวังได้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับบริการทางสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่ควรมีใครต้องร่วงหล่นหายไปอีก

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2567
ผู้แต่ง

ฤทัยชนก สิงหเสนี

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อยากแก้ปัญหาปากท้องก่อน แต่ถ้าไม่ปฏิรูปตำรวจ ก็แก้ยาก !

ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มืดเทา อาจเป็นคำนิยามวงการตำรวจไทยในปัจจุบัน ? หากเราพูดถึงวงการตำรวจ หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงเรื่องที่ตำรวจดันไปเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมกับการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมูเถื่อน กำนันนก ทุนจีนสีเทา หรือข่าวอาชญากรรมต่าง ๆ แทนที่จะมองว่า ตำรวจคือผู้ที่รักษาความสงบให้บ้านเมือง และคุ้มครองประชาชนให้รู้สึกปลอดภัย

You might also like...

บทความวิจัย : กลไกป้องปรามการทุจริตของภาคประชาชนผ่านการสอดส่องและเสนอแนะ

การดำเนินกลไกป้องปรามการทุจริตผ่านคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และสมาชิกสภาท้องถิ่นที่ไม่ใช่ผู้บริหารในการตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการจะทำให้เกิดความโปร่งใสและความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการ

บทความวิจัย : การเสริมสร้างเครือข่ายการต่อต้านการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดกาญจนบุรี

แนวทางการพัฒนาเครือข่ายการต่อต้านทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการสื่อสารระหว่างกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน การสร้างตัวอย่างที่ดี การสร้างสังคมหิริโอตัปปะ และการสนับสนุนระบบการร้องเรียน ความโปร่งใส การป้องกันการทุจริต รวมถึงการมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้บริหาร

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ส่งเสริมธรรมาภิบาลให้กว้างไกลด้วยการสร้างรางวัลให้องค์กร

พาทุกคนมาศึกษาจุดเริ่มต้นของธรรมาภิบาลในประเทศไทยช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจไทย 2540 ที่นำมาสู่การมอบรางวัลเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลไทย ซึ่งจะทำให้เห็นถึงพัฒนาการและภาพรวมของธรรมาภิบาลในประเทศไทยมากขึ้น และการมีธรรมาภิบาลจะช่วยลดคอร์รัปชันได้อย่างไร ?