แม้จะผ่านมาเพียงครึ่งปี แต่สำหรับผู้เขียนปี 2568 นี้ คือหนึ่งในปีที่วุ่นวายที่สุดหรือเป็นอีกปีที่สามารถเรียกได้ว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจในหลายประเทศ หรือความขัดแย้งทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้ารอบใหม่ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่นำไปสู่สงครามหรือความรุนแรงในหลายภูมิภาค รวมถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก
โดยเฉพาะความขัดแย้งทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลกนั้น สำหรับผู้เขียน อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้การเมืองโลกกำลังเข้าสู่ภาวะความหวาดระแวงซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการบุกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยอิสราเอลในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งสาเหตุมาจากการที่อิสราเอลกล่าวหาว่าทางอิหร่านกำลังพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอิสราเอล และการบุกโจมตีดังกล่าวนำไปสู่สงครามระหว่างทั้งสองประเทศในเวลาต่อมา นอกจากความขัดแย้งในด้านความมั่นคงระหว่างสองชาติคู่ปรปักษ์อย่างอิหร่านและอิสราเอลแล้ว อิสราเอลยังคงอยู่ในภาวะความขัดแย้งกับปาเลสไตน์ในบริเวณฉนวนกาซา มาเป็นเวลามากกว่า 1 ปี
นอกจากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางแล้วนั้น หลายประเทศในยุโรปกำลังรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยที่กำลังรุกคืบเข้ามาอำนาจอธิปไตยของรัฐตน ความกังวลดังกล่าวสะท้อนผ่านการประชุมสุดยอด NATO Summit 2025 โดยประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation – NATO) จำนวน 32 ประเทศ ได้เห็นชอบในแผนด้านความมั่นคง ผ่านการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม โดยตั้งเป้าหมายว่าประเทศสมาชิกจะเพิ่มงบประมาณในด้านการป้องกันประเทศเป็นร้อยละ 5 ของ GDP ภายใน ค.ศ. 2035 ซึ่งประธานาธิบดีฟินแลนด์อย่าง Alexander Stubb ได้กล่าวว่า แผนการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของประเทศสมาชิกในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสู่การใช้จ่ายด้านกลาโหมในยุคสงครามเย็น
การเพิ่มงบประมาณกลาโหมดังกล่าว เป็นผลมาจากการกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พิจารณาแล้วว่า สหรัฐฯ นั้นแบกรับค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมในองค์การ NATO มากเกินไป
และภัยความมั่นคงจากรัสเซียที่ยังคงคุกรุ่นโดยรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามอันสำคัญของประเทศสมาชิกองค์การ NATO ตั้งแต่สงครามเย็นแม้สงครามเย็นจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่รัสเซียยังคงแผ่ขยายอำนาจของตนเข้ามาในยุโรป ผ่านการเข้ายึดครองดินแดนหรือเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองในประเทศอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียต ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการทำสงครามกับยูเครนที่ยืดเยื้อมาแล้วกว่า 3 ปี
ความกังวลต่อภัยความมั่นคงระหว่างประเทศไม่ได้มีเพียงแค่ในทวีปยุโรปหรือตะวันออกกลางเพียงเท่านั้น หลังจากที่ประเทศสมาชิกองค์การ NATO ประกาศยอมรับในแผนการเพิ่มงบกลาโหม และได้เพิ่มงบประมาณในการสนับสนุนยูเครนเพื่อต่อต้านรัสเซีย ทางด้านรัสเซียก็ได้ตอบโต้ด้วยการยกระดับศักยภาพทางทหารควบคู่กับดำเนินยุทธศาสตร์ทางการทูตที่สร้างความหวาดระแวงและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียได้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการยืนยันถึงความร่วมมือทางทหารระหว่างทั้งสองประเทศ และสะท้อนถึงบทบาทของเกาหลีเหนือในฐานะพันธมิตรสำคัญของรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน
แม้การเยือนเกาหลีเหนือของรัสเซีย สร้างความกังวลแก่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเกาหลีใต้ แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เร่งขยายความร่วมมือด้านการซ้อมรบทางทหาร เพื่อตอบโต้การพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ อีกทั้ง ยังได้จัดการฝึกซ้อมทางอากาศร่วมกันในช่วงเวลาเดียวกับที่รัสเซียเยือนเกาหลีเหนือ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกภูมิภาคทั่วโลกในขณะนี้ต่างตกอยู่ในภาวะของความหวาดระแวงต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงและอธิปไตยของตนเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้เขียนเองนั้น ภายใต้บริบทที่หลายประเทศกำลังสะสมอำนาจทางการทหารผ่านการเพิ่มงบประมาณกลาโหมเพื่อการเสริมสร้างความมั่นคงของชาตินั้น อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อประเทศเหล่านั้นในมิติอื่น ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากงบประมาณทางทหารที่เพิ่มขึ้นอาจนำมาซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจมากมาย เช่น หนี้สาธารณะที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดการผลักภาระให้แก่ประชาชนในประเทศเหล่านั้นผ่านการเพิ่มภาษี หรือการตัดงบประมาณในภาคส่วนอื่นๆ ของภาครัฐ ที่ควรจะเป็นสวัสดิการทางสังคม
โดยเฉพาะการบรรลุเป้าหมายเพิ่มงบประมาณในด้านการป้องกันประเทศเป็นร้อยละ 5 ของ GDP ของประเทศสมาชิกองค์การ NATO นั้น ได้สร้างภาระอันใหญ่หลวงแก่ประเทศสมาชิก จากการวิเคราะห์ของมูลนิธิ New Economics Foundation แห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมรวมที่ร้อยละ 5 ขององค์การ NATO ประเทศสมาชิกจะต้องเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้นถึง 613,000 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งจะเป็นการสร้างผลกระทบด้านการคลังอย่างรุนแรงต่อประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่ 4 ประเทศเท่านั้น ซึ่งได้แก่ เดนมาร์ก สวีเดน เอสโตเนีย และลิทัวเนีย ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจเพียงพอในการเพิ่มงบประมาณให้ถึงได้
นอกจากการเพิ่มงบประมาณทางทหารจะสร้างผลกระทบเศรษฐกิจแล้วนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าการเพิ่มงบประมาณทางกลาโหมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงของในการเกิดคอร์รัปชัน โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ระบุว่า เนื่องจากภาคกลาโหมเป็นภาคส่วนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนในการใช้งบประมาณและตรวจสอบได้ยาก ทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการทุจริตและคอร์รัปชันเติบโตได้ง่าย
อีกทั้ง Transparency International Defence and Security ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างงบประมาณกลาโหมและการคอร์รัปชันนั้นเป็นไปในรูปแบบของวัฏจักร ซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในประเทศที่มีภาวะรัฐถูกครอบงำ (state capture) ที่กลุ่มผลประโยชน์ส่วนตัวแทรกแซงการดำเนินงานของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ดังนั้น เมื่อรัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้งบประมาณด้านกลาโหมมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ ปัญหาคอร์รัปชันก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
จากดัชนีความโปร่งใสของภาครัฐในด้านการป้องกันประเทศ (Government Defence Integrity Index – GDI) ของ Transparency International Defence and Security พบว่า 1 ใน 3 จาก 40 ประเทศที่มีการใช้จ่ายงบกลาโหมสูงสุดของโลก มีความเสี่ยงคอร์รัปชันในระดับสูงถึงขั้นวิกฤต แม้ว่าประเทศที่มีการใช้งบประมาณสูงจะมีมาตรการปกป้องคอร์รัปชันและตรวจสอบภายในที่เข้มแข็ง แต่ประเทศเหล่านี้ยังคงอยู่ในวงจรของการสร้างปัญหาคอร์รัปชัน เนื่องจากประเทศเหล่านี้เป็นผู้ส่งออกอาวุธไปยังประเทศที่เผชิญกับความเสี่ยงคอร์รัปชันในระดับสูงกว่า ดังนั้นปัญหาคอร์รัปชันยังคงอยู่ต่อไป
ดังนั้น สำหรับผู้เขียน โลกในปัจจุบันไม่ได้เผชิญเพียงแค่วิกฤตด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการคอร์รัปชันที่มาพร้อมกับการเพิ่มงบประมาณทางกลาโหมเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และยิ่งท้าทายมากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากประเทศที่กำลังจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมนั้น เป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีในด้านความโปร่งใส และมีอันดับสูงในดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) และท้ายที่สุด แม้ประเทศเหล่านี้จะมีมาตรการป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการเพิ่มงบประมาณกลาโหม ด้วยการสร้างความโปร่งใสและการกำกับดูแลงบประมาณอย่างครอบคลุม แต่สาเหตุสำคัญแท้จริงที่ก่อให้เกิดปัญหา คือ สงครามและความขัดแย้ง หากสงครามและความขัดแย้งยังคงอยู่ ปัญหาคอร์รัปชันซึ่งเป็นผลลัพธ์ปลายน้ำก็ยากที่จะถูกแก้ไขอย่างถาวรเช่นกัน
ศรันย์ชนก ลิมวิสิฐธนกร
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย
จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน
เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)