บทความวิจัย | กว่าจะถึงการออกเสียงประชามติ…ก็ยังไม่สายเกินไป

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 นับเป็นการเปิดโอกาสครั้งแรกให้ประชาชนมีสิทธิประชาธิปไตยทางตรงในการให้ความเห็นชอบ หรือไม่ให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อควบคุมการใช้อำนาจ ไม่ให้หย่อนประสิทธิภาพและควบคุมเกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้

 

บทความนี้ มุ่งเน้นถึงการพิจารณาข้อกังวัลต่อกระบวนการลงประชามติในปัจจุบัน ซึ่งอาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้ 

 

  • ความท้าทายของการลงประชามติ คือ อุปสรรคด้านระยะเวลาในการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (15-30 วัน) ซึ่งมีความซับซ้อนของเอกสารสูง โดยผู้เขียนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และฉบับเก่า โดยให้เน้นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเหตุผลในการแก้ไข รวมถึงประเด็นที่สร้างความสับสน เช่น การลดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างวุฒิสภา เป็นต้น
  • การเปรียบเทียบกระบวนการลงประชามติของต่างประเทศ โดยได้เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้เเก่ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา อิตาลี และสวีเดน โดยเน้นถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นกลาง ความชัดเจนของคำถาม และเกณฑ์ขั้นต่ำของผู้มาใช้สิทธิในการลงประชามติ เป็นต้น
  • บริบทการลงประชามติของไทย แม้ว่าไทยเคยมีบทบัญญัติเรื่องการลงประชามติในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการลงประชามติจริง โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่าบทบัญญัติเรื่องการลงประชามติในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ มักเกี่ยวข้องกับพระบรมราชโองการหรือการอนุมัติจากสภา ซึ่งแตกต่างจากการลงประชามติในครั้งนี้ที่บัญญัติไว้โดยตรงในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รวมถึงการไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำของผู้มาใช้สิทธิในการลงประชามติในกระบวนการปัจจุบัน
  • ข้อเสนอแนะต่อการลงประชามติ ผู้เขียนได้จัดทำข้อเสนอแนะสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ อาทิ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ควรมุ่งสื่อสารอย่างเปิดเผย เพื่อแก้ไขข้อสงสัยของประชาชน  รัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ควรใช้ทรัพยากรเในการให้ความรู้ประชาชนอย่างกว้างขวาง และการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทีย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรรักษาความเป็นกลางและความโปร่งใสของกระบวนการ  สื่อมวลชน ควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและกระบวนการลงประชามติเเละประชาชน ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อพิจารณาเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ และการลงคะแนนอย่างอิสระ

 

เอกสารอ้างอิง

รูปแบบ APA

เรืองโรจน์ จอมสืบ. (2550). กว่าจะถึงการออกเสียงประชามติ…ก็ยังไม่สายเกินไป. วารสารสถาบันพระปกเกล้า, 5(1), 118.

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2550
ผู้แต่ง

เรืองโรจน์ จอมสืบ

วารสารที่ตีพิมพ์

หัวข้อ
Related Content

โมเดลทางทฤษฏีเชื่อมโยงดัชนี ITA ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและความคิดที่จะออกมาแจ้งเบาะแสการทุจริตในภาครัฐ

งานวิจัยชี้ว่า 3 ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อความคิดของบุคคลที่จะออกมาแจ้งเบาะแสในหน่วยงาน ได้เเก่ จริยธรรมขององค์กรที่มีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเพื่อสาธารณะ ความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของเเต่ละบุคคล และความรู้สึกปลอดภัยในการเเสดงความคิดเห็น

โครงการวิจัยและประสานงานเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน

เพื่อออกแบบงานวิจัยสำหรับแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงพัฒนาระบบและเครื่องมือใหม่ในการป้องกันและลดคอร์รัปชันในระดับพื้นที่

โครงการวิจัยเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน ระยะที่ 2

จัดทำข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยเน้นแนวทางการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชันจากมุมมองของประชาชน ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (PAR) และกระบวนการ Design Thinking เต็มรูปแบบ

You might also like...

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 5 ความเสี่ยงทุจริตทรัพยากรไทย ช่องโหว่การรุกล้ำพื้นที่ป่าไม้ในอำเภอม่อนแจ่ม

“เปิดเลนส์ข่าวกรอง” ชวนสำรวจแนวทางสืบสวนคดีคอร์รัปชันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในคดีที่ซับซ้อน มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง หรือมีความพยายามปกปิดร่องรอยอย่างเป็นระบบ แต่ละประเทศมีแนวทางอย่างไรบ้าง มาดูกัน

ความเสี่ยงต่อการทุจริตในปัญหาการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้ กรณีป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม พื้นที่ม่อนแจ่ม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

งานด้านการข่าว และ เทคนิคการสืบสวนสอบสวนพิเศษ เป็นเครื่องมือหรือกลยุทธ์ที่สามารถจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันที่ซับซ้อนได้ หากนำกลยุทธ์ดังกล่าวมาปรับใช้ในสำนักงาน ป.ป.ช. ก็จะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและได้ประสิทิผลมากขึ้น

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | เสริมพลัง ป.ป.ช. จังหวัด แก้คอร์รัปชันให้ตรงจุด

“เปิดเลนส์ข่าวกรอง” ชวนสำรวจแนวทางสืบสวนคดีคอร์รัปชันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในคดีที่ซับซ้อน มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง หรือมีความพยายามปกปิดร่องรอยอย่างเป็นระบบ แต่ละประเทศมีแนวทางอย่างไรบ้าง มาดูกัน