ผ่านวันเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. มาเกือบ 2 เดือนครึ่งแล้ว จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นใคร และรัฐบาลใหม่หน้าตาเป็นแบบไหน ได้ยินแต่การคาดเดาสูตรรัฐบาลผสมจากพรรคการเมืองต่างๆ ของนักวิเคราะห์การเมืองและสำนักข่าวที่แตกต่างกันออกไป
ย้อนกลับไปช่วงหลังการเลือกตั้งใหม่ๆ ตัวแทนของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง สส. จำนวนสูงสุด ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้เดินสายไปพูดคุยหารือกับองค์กรด้านต่างๆ ที่น่าจะต้องได้คุยและทำงานร่วมกับรัฐบาลต่อไป โดยหนึ่งในองค์กรที่พรรคก้าวไกลได้มาพูดคุยด้วยคือ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ซึ่งในการพูดคุยวันนั้น เป็นการหารือเรื่องแนวทางและข้อเสนอความร่วมมือในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันเท่านั้น ไม่ได้คุยเรื่องสถานการณ์การเมืองเลย บทความตอนนี้จึงจะขอถ่ายทอดและอภิปรายแนวทางและข้อเสนอเหล่านั้น โดยไม่นำสถานการณ์ทางการเมืองมาวิเคราะห์ร่วมด้วยเช่นกัน
ในวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลนำทีมว่าที่ สส. ของพรรคหลายคน เช่น ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ และรังสิมันต์ โรม โดยพิธาได้เริ่มต้นด้วยการนำเสนอหลักการในการออกแบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่พรรคนำเสนอต่อประชาชน นั่นคือ สมการคอร์รัปชัน ของ Professor Robert Klitgaard ที่บอกว่า C = D + M – A หรือ คอร์รัปชัน = อำนาจดุลยพินิจ + การผูกขาด – กลไกความรับผิดรับชอบ ซึ่งอธิบายได้ว่า หากต้องการลดคอร์รัปชัน จะสร้างกลไกเพื่อลดการใช้อำนาจดุลยพินิจของข้าราชการและนักการเมือง ลดอำนาจผูกขาดทั้งทางการเมืองและธุรกิจ และต้องสร้างกลไกความรับผิดรับชอบของผู้มีอำนาจรัฐให้มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ทั้งนี้ พิธา ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เขาเข้าใจว่าสมการนี้ยังมีข้อบกพร่องที่มองคอร์รัปชันอย่างง่ายๆ เกินไป เพราะในความจริงปัญหานี้ซับซ้อนกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยสมการนี้มาก
บนพื้นฐานของสมการนี้ พรรคก้าวไกล จึงออกแบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันอย่างครอบคลุมผ่านการสร้าง “ระบบดี” เพื่อให้ “คนดี” มีที่ยืนและสามารถก้าวหน้าได้ ด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ ระบบที่ไม่มีใครอยากโกง ระบบที่ไม่มีใครกล้าโกง ระบบที่ไม่มีใครโกงได้ และระบบที่ไม่มีใครโกงแล้วรอด
เริ่มต้นด้วยระบบที่ไม่มีใครอยากโกง เพราะหาโอกาสโกงยากขึ้น ด้วยการยกเลิกใบอนุญาตอย่างน้อย 50% และยกเลิกทุกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยกระบวนการ Regulatory Guillotine ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เช่น เกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังจะทำให้การร้องเรียนไม่เงียบและมีอัปเดตทุกขั้นตอน มีช่องทางกลางเพื่อติดตามสถานะเรื่องร้องเรียนและสุดท้ายกำหนดให้รู้ผลใบอนุญาตใน 15 วัน หากพิจารณาไม่ทันกรอบเวลา ให้ถือว่าอนุญาตโดยอัตโนมัติไปเลย เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ดึงเรื่องเพื่อเรียกร้องสินบน
ต่อมาระบบที่ไม่มีใครกล้าโกง เพราะทุกที่โปร่งใสไปหมด ด้วยการสร้างรัฐเปิดเผย (Open Government) เปิดข้อมูลรัฐทันที ให้ประชาชนเป็นเจ้าของ ภายใต้หลักการเปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น และต้องเปิดข้อมูลในรูปแบบที่นำไปวิเคราะห์ต่อได้ ไม่ใช่เปิดเป็นรูปภาพ JPEG หรือ PDF สร้างรัฐสภาเปิด (Open Parliament) เช่น ถ่ายทอดสดกรรมาธิการ และ การสร้างรัฐบาลที่มีแนวปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดี เช่น ห้ามใช้เงินหลวงโปรโมทตัวเองโดยสามารถใช้งบประชาสัมพันธ์ในการโฆษณาผลงานของหน่วยงานได้เท่านั้น ไม่ทนกับคนภายในคณะรัฐมนตรีและพรรคการเมือง และตัดความสัมพันธ์กับทุนใหญ่-ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
แนวทางที่ 3 คือระบบที่ไม่มีใครโกงได้ ด้วยการอำนวยความสะดวกประชาชน พัฒนาให้ทุกบริการภาครัฐสามารถทำได้ผ่านมือถือ ลดโอกาสการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ และลดการพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ซึ่งเป็นโอกาสที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเรียกสินบนหรือประชาชนอาจจะเสนอสินบนให้ได้รับบริการพิเศษ
สุดท้ายคือ ระบบที่ไม่มีใครโกงแล้วรอด ด้วยการยกระดับกลไกการตรวจสอบ ด้วยการใช้ระบบ AI จับโกง โดยใช้ต้นแบบจาก ACTAi ของ ACT เพื่อแจ้งเตือนการทุจริตแบบอัตโนมัติ เพิ่มให้ประชาชนร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์อิสระในโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐที่มีมูลค่าสูง ดึงให้ ป.ป.ช. ยึดโยงกับประชาชนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต้านโกงสำเร็จในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น ฮ่องกง และ สิงคโปร์ โดยกำหนดให้กรรมการ ป.ป.ช. มีที่มาหลากหลายและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมถึงกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอนได้ด้วย และที่จะสร้างผลกระทบใหญ่ได้คือการปฏิรูปตำรวจ ที่มีความพยายามกันมาหลายครั้งในหลายรัฐบาลแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเสียที
นอกจากนี้ ยังต้องสร้างสังคมต้านโกง ด้วยโครงการ “คนโกงวงแตก” เพื่อจูงใจให้คนที่คิดจะโกงระแวงกันเองและคุ้มครองคนที่ออกมาแฉก่อน คล้ายกับกฎหมายที่ใช้ได้ผลมากในประเทศอังกฤษและอเมริกา และโครงการ“แฉโกง ปลอดภัย ได้เงิน” เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เปิดโปงการทุจริต และเพิ่มรางวัลให้กับประชาชนที่ชี้เบาะแส
น่าสนใจอย่างยิ่งว่า นโยบายเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชันอย่างลึกซึ้งและครอบคลุม สามารถนำหลักวิชาการมาเป็นแนวทางในการออกแบบกลไกที่น่าจะมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในสังคมไทยได้โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน
แต่น่าเสียดายที่คงจะได้เพียงแต่ฟังนโยบายที่น่าตื่นเต้นและดูมีความหวังเท่านั้น แต่ไม่มีโอกาสได้เห็นจริงในเร็ววันนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนอย่างเรายังคงทำได้คือส่งเสียงแห่งความหวังว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลคงจะไม่ใช่คนที่มีประวัติเกี่ยวกับการคอร์รัปชันอย่างชัดเจนมาก่อน และหวังว่าผู้นั้นจะมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งอุปสรรคของการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านครับ
- รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
- ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอปป้า เพื่อระบบที่ดีสร้างสังคมยั่งยืน
โอปป้าจ๋าช่วยด้วยยยย ! ทำไมคอร์รัปชันยังไม่หมดไปสักที หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราถึงอยากปฏิรูปการศึกษาก็ทำไม่ได้ อยากป้องกันทรัพยากรธรรมชาติก็ทำได้ยากเพราะมีคนแย่งหาผลประโยชน์กันเต็มไปหมด หรือแม้แต่การสร้างสวัสดิการที่ดีให้กับประชาชนก็ดันไม่ถึงมือประชาชนอีก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการคอร์รัปชันที่ยังไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้นั่นเอง
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เวทีต้านโกงระดับโลก เขาพูดคุยอะไรกัน
4 ประเด็นน่าสนใจจาก “Summit for Democracy 2023” การประชุมระดับโลกเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษา HAND Social Enterprise HANDSocialEnterprise ได้รับเชิญจากรัฐบาลเกาหลีใต้ให้ไปร่วมเสวนาในงาน Summit for Democracy 2023 หัวข้อหลักงานปีนี้คือ “การต่อต้านคอร์รัปชัน” เชื่อมโยงคำอธิบายว่า การคอร์รัปชันบ่อนทำลายประชาธิปไตย ในทางกลับกันประเทศที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็งจะทำให้คอร์รัปชันสูงขึ้น
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เรามีคนโกงเพิ่มขึ้น หรือ เราจับคนโกงได้มากขึ้น
แจ้งไม่เยอะแน่นะวิ ! ปี 65 พบการแจ้งเรื่องทุจริตเกือบ 10,000 เรื่องในไทย เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทั้งๆ ที่มีหน่วยงานปราบโกงที่มีอำนาจทางกฎหมายล้นเหลืออยู่หลายหน่วยงาน ทำไมระดับการคอร์รัปชันของไทยยังดูจะแย่ลงเรื่อยๆ