การทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ปิดฉากลงแล้ว หลังจากกว่า 2 เดือนของการประชุมเช้าจรดค่ำ เอกสารนับหมื่นหน้า และล่าสุดร่างงบประมาณก็ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 เป็นที่เรียบร้อย โดยหนึ่งในประเด็นที่ผมคิดว่าควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือ “งบประมาณด้านการต่อต้านการทุจริต” ซึ่งควรเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศ
โดยปกติงบต้านคอร์รัปชันของไทยแบ่งออกเป็นหลายส่วน สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง และหน่วยรัฐอื่นๆ ที่ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหานี้ด้วย สำหรับบทความนี้ผมอยากขอส่องไฟไปที่งบสองก้อนใหญ่ ก้อนแรกคือ “แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต” ครอบคลุม 34 หน่วยงาน รวม 77 โครงการ วงเงินกว่า 961 ล้านบาท ก้อนที่สองคือ งบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วงเงินกว่า 4,500 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกัน ประเทศไทยจะใช้งบด้านนี้อย่างน้อย 5-6 พันล้านบาท ตัวเลขนี้มากพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้ หากถูกใช้ไปอย่างถูกทาง แต่จากการพิจารณา พบว่างบจำนวนมากยังคงมุ่งไปที่กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการลงทุนในรากฐานของระบบตรวจสอบและป้องกันที่ยั่งยืน
ในส่วนของ ป.ป.ช. งบกว่า4,500 ล้านบาทครอบคลุมภารกิจหลักตั้งแต่การไต่สวนคดี การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไปจนถึงการดำเนินงานของกองทุนป.ป.ช. มูลค่ากว่า 290 ล้านบาท ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทว่าในทางปฏิบัติ กลับพบว่ากองทุนนี้ถูกใช้ไปกับกิจกรรมประชาสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ แทนที่จะลงทุนในระบบข้อมูลและกลไกการตรวจสอบตามเจตนารมณ์เดิม
ยิ่งไปกว่านั้น งบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันทุจริตโดยตรง เช่น งบการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองกว่า 50 ล้านบาท ก็ยังไม่ก่อให้เกิดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ดูได้จากข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองยังถูกเปิดเผยเพียง 180 วันทั้งที่วาระการดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 4 ปี ทำให้ประชาชน นักวิชาการ หรือสื่อมวลชนไม่สามารถติดตามตรวจสอบต่อเนื่องได้ ขณะเดียวกัน ระบบติดตามเรื่องร้องเรียนซึ่งควรเป็นช่องทางสำคัญให้ประชาชนมีส่วนร่วม ก็ยังไร้ความชัดเจนว่าจะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อใด
ขณะที่งบบูรณาการต่อต้านการทุจริต วงเงินกว่า 961 ล้านบาท ก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างการใช้จ่ายอย่างชัดเจน กิจกรรมจำนวนมากเริ่มจากการประชาสัมพันธ์ ทั้งที่ระบบตรวจสอบยังไม่พร้อม มีการผลิตสื่อ จัดอีเวนท์และสร้างกระแสโดยขาดการทดสอบสารหรือวัดผลตามหลักวิชาการ งานวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศต่างเตือนว่าการสื่อสารเรื่องคอร์รัปชันที่ไม่ได้ออกแบบและประเมินผล อาจทำให้ประชาชนรู้สึกชินชา หรือหมดหวัง มากกว่าจะกระตุ้นให้ลุกขึ้นต่อต้าน
หนึ่งในตัวอย่างคือโครงการหลักสูตรนักยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) ซึ่งของบทั้งหมด 31 ล้านบาท แต่ในจำนวนนี้กว่า 2 ใน 3 หรือคิดเป็น 22 ล้านบาทใช้เพื่อพาผู้เข้าอบรมไปดูงานต่างประเทศ ทั้งที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันจนสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีนานาชาติ นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของงบบูรณาการ หรือราว 500 ล้านบาท ยังใช้ไปกับการอบรมและปลูกฝัง ทั้งเยาวชน ข้าราชการ และโครงการต้นแบบ แต่ตัวชี้วัดกลับเป็นเพียงจำนวนผู้เข้าร่วมหรือจำนวนกิจกรรม ไม่มีการติดตามผลเชิงพฤติกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ทำให้ไม่อาจยืนยันได้ว่าผู้ผ่านการอบรมจะไม่กลับไปอยู่ในวงจรอุปถัมภ์แบบเดิม
ในด้านเทคโนโลยี แม้จะมีโครงการบางส่วนที่พัฒนาระบบร้องเรียนออนไลน์หรือระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง แต่ส่วนใหญ่เป็นระบบปิด ใช้ภายในหน่วยงาน ไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลภายนอกและไม่เปิดให้สาธารณะตรวจสอบ สิ่งที่ขาดหายคือการลงทุนใน “ข้อมูลเปิด” (Open Data) อย่างแท้จริง ทั้งที่นี่คือรากฐานของการตรวจสอบและการสร้างนวัตกรรมด้านต้านคอร์รัปชันมาตรฐานของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) และหลักการ Open Data Charter ระบุชัดว่าข้อมูลด้านงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลการดำเนินงานควรถูกเปิดเผยในรูปแบบที่ค้นหา ดาวน์โหลดและนำไปใช้ต่อได้ แต่ในแผนงานปีนี้กลับไม่มีโครงการที่ตอบโจทย์นี้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางข้อกังวล ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากการประชุม กมธ. งบฯ เลขาธิการ ป.ป.ช. ชี้แจงว่าจะพิจารณาเสนอแก้ไขให้การเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองยาวนานกว่ากำหนด 180 วันในปัจจุบัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะช่วยยกระดับการตรวจสอบให้ต่อเนื่องตลอดวาระ ขณะเดียวกัน ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็ยืนยันว่า โครงการใดที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล หากไม่เปิดต่อสาธารณะ “ไม่ทำเสียดีกว่า”
ทั้งสองคำมั่นสัญญานี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อถูกแปลงเป็นการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเส้นเวลาและตัวชี้วัดที่ชัดเจน สังคมต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าหน่วยงานเหล่านี้จะทำจริงหรือไม่ และจะทำเมื่อใด เพราะหากสามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปิดข้อมูลอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ งบกว่า 5-6 พันล้านบาทในปีนี้ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการต้านคอร์รัปชันไทยได้
แต่หากปล่อยให้เงินก้อนนี้หมดไปกับกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อสร้างภาพ งบประมาณปี 2569 ก็อาจกลายเป็นอีกปีที่เราได้เพียง “ป้ายประกาศว่าต่อต้านคอร์รัปชัน” ขณะที่ระบบล็อกประตูบ้านยังไม่ได้ติดตั้งอย่างแท้จริง
- รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
- รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอปป้า เพื่อระบบที่ดีสร้างสังคมยั่งยืน
โอปป้าจ๋าช่วยด้วยยยย ! ทำไมคอร์รัปชันยังไม่หมดไปสักที หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราถึงอยากปฏิรูปการศึกษาก็ทำไม่ได้ อยากป้องกันทรัพยากรธรรมชาติก็ทำได้ยากเพราะมีคนแย่งหาผลประโยชน์กันเต็มไปหมด หรือแม้แต่การสร้างสวัสดิการที่ดีให้กับประชาชนก็ดันไม่ถึงมือประชาชนอีก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการคอร์รัปชันที่ยังไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้นั่นเอง
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เวทีต้านโกงระดับโลก เขาพูดคุยอะไรกัน
4 ประเด็นน่าสนใจจาก “Summit for Democracy 2023” การประชุมระดับโลกเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษา HAND Social Enterprise HANDSocialEnterprise ได้รับเชิญจากรัฐบาลเกาหลีใต้ให้ไปร่วมเสวนาในงาน Summit for Democracy 2023 หัวข้อหลักงานปีนี้คือ “การต่อต้านคอร์รัปชัน” เชื่อมโยงคำอธิบายว่า การคอร์รัปชันบ่อนทำลายประชาธิปไตย ในทางกลับกันประเทศที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็งจะทำให้คอร์รัปชันสูงขึ้น
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เรามีคนโกงเพิ่มขึ้น หรือ เราจับคนโกงได้มากขึ้น
แจ้งไม่เยอะแน่นะวิ ! ปี 65 พบการแจ้งเรื่องทุจริตเกือบ 10,000 เรื่องในไทย เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทั้งๆ ที่มีหน่วยงานปราบโกงที่มีอำนาจทางกฎหมายล้นเหลืออยู่หลายหน่วยงาน ทำไมระดับการคอร์รัปชันของไทยยังดูจะแย่ลงเรื่อยๆ