Big Data : ใช้งานข้อมูลให้เป็น เพื่ออุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชัน
“Big Data” หมายถึง ข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่ถูกเก็บบันทึกรวบรวมไว้ในที่เดียวจนกลายเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลลูกค้าขององค์กรที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ หรือฐานข้อมูลรายได้ครัวเรือนที่หน่วยงานรัฐจัดเก็บ ดังนั้น Big Data จึงมีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้
ตัวอย่างในบทความวิจัย เรื่อง “แกะรอยผูกขาด ป้องกันทุจริตคอร์รัปชันด้วย Big Data” โดย ภวินทร์ เตวียนันท์ (2560) ได้ดึงข้อมูล 5.4 ล้านโครงการ บนเว็บไซต์ https://data.go.th/ มาวิเคราะห์ลักษณะของปัญหาทุจริตเพื่อช่วยให้การวางมาตรการป้องกันคอร์รัปชันแม่นยำมากยำมากขึ้น โดยเน้นไปที่ข้อมูลของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน ซึ่งเป็น 3 กรมที่มีมูลค่าการก่อสร้างสูงสุด
ทำให้พบว่า ในหลายจังหวัดมีการจัดซื้อจัดจ้างกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการไม่กี่ราย โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่แถวตะเข็บชายแดน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่มีผู้ประกอบการเข้าร่วมประมูลน้อย ขณะที่ในกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าจะมีการกระจายตัวสูง แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปบางเขตในกรุงเทพฯ กลับพบว่า ในหลายเขตก็มีการกระจุกตัวของการจัดซื้อจัดจ้างสูง และมีการแบ่งเขตกันอย่างชัดเจนโดยไม่ข้ามเขตกัน ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท และเมื่อเกิดการกระจุกตัวที่มีการซื้อบ่อยครั้งอาจจะเกิดเป็น “เจ้าประจำ” ที่ผูกขาด
ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปที่วัตถุประสงค์โครงการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้าง คือการให้เปิดภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันเสนอราคาเพื่อให้รัฐได้สินค้าที่มีมาตรฐานในราคาที่ถูกที่สุด แต่การกระจุกตัวหรือการมีเจ้าประจำชนะการประมูลซ้ำ ๆ แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่นั้นไม่มีการแข่งขัน ทำให้รัฐมีตัวเลือกน้อย การประกวดราคาที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นไปได้ยาก และการกระจุกตัวนี้อาจเกิดจากการ “ฮั้ว” หรือตกลงกันระหว่างเอกชนกับเอกชนร่วมกันเสนอราคาที่สูง หรือระหว่างเอกชนกับรัฐที่พยายามขัดขวางไม่ให้เอกชนเจ้าอื่นมาร่วมประมูลด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบและถือเป็นการร่วมกันทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ การกระจุกตัวจึงสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการคอร์รัปชันในพื้นที่นั้น
จะเห็นได้ว่าแค่มี Big Data ก็ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ และยิ่งข้อมูลอยู่มากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ให้กับการต่อต้านคอร์รัปชัน ดังนั้นประเทศไทยจึงควรเร่งพัฒนา Big Data และเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าใช้งาน เพื่อนำสู่ไปการมีส่วนร่วมตรวจสอบคอร์รัปชันหรือการสร้างสรรค์แนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชันใหม่ ๆ ให้กับสังคม
นอกเหนือจากที่กล่าวมา ยังมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และเนื้อหาอื่น ๆ อีกด้วย โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความวิจัย เรื่อง “แกะรอยผูกขาด ป้องกันทุจริตคอร์รัปชันด้วย Big Data” โดย ภวินทร์ เตวียนันท์ (2560)
#คอร์รัปชัน #ทุจริต #จัดซื้อจัดจ้าง #โครงการรัฐ #รัฐบาล #OpenData #Bigdata #ข้อมูลเปิด #Corruption #KRAC
——————
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
- ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data
Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ
เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”
KRAC The Experience | EP 4 “Tales of Transparency : Lesson learns from Georgia”
เปิดเผยข้อมูลแบบโปร่งใสอย่างสุดโต่ง คืออะไร ? วันนี้เรามีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเปิด (Open Data) มาเล่าให้คุณฟังกับ KRAC The Experience ตอน “Tales of Transparency : Lesson learns from Georgia”