เมื่อช่วง พ.ศ. 2566 คณะกรรมาธิการยุโรป (The European Commission) ได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อให้สหภาพยุโรปสามารถ “คว่ำบาตร” บุคคลและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยผู้ที่ถูกคว่ำบาตรจะถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปยังสหภาพยุโรป และอาจถูกอายัดทรัพย์สิน
โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ได้แสดงความเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว และมีความรู้สึกยินดีกับร่างกฎหมายนี้ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับการทุจริตอย่างรวดเร็วทั้งในสหภาพยุโรป และการทุจริตระหว่างประเทศ
ในเวลาต่อมาผู้อำนวยการของ the Serious Organised Crime and Anti-Corruption Evidence Research Programme ได้มีการตั้งข้อสังเกตถึง “ประสิทธิผล” ของการคว่ำบาตรจากร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นว่าการคว่ำบาตรเป็นเพียง “ยาปฏิชีวนะ” ที่สร้างระบบภูมิคุ้มกันภายในระบบราชการ อย่างไรก็ตามอาจส่งผลให้เกิด “การดื้อยา” หรือสภาวะที่พยายามหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร เนื่องจากกลัวผลกระทบด้านลบ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งในที่สุดจะทำให้การคว่ำบาตรอาจกลายเป็นสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ ด้วย เช่น การแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม
นอกจากนี้ยังมีการแสดงความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคลและองค์การที่มีพฤติกรรมการทุจริต อาจทำให้ไม่มีการแสวงหาแนวทาง หรือการบังคับใช้มาตรการอื่น ๆ เพื่อป้องกันการทุจริต เช่น การเผยแพร่ข้อมูลบุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จากการทุจริต (Beneficial Ownership) ซึ่งเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากกว่าการคว่ำบาตร ดังนั้นข้อวิจารณ์ดังกล่าวจึงมองว่าการคว่ำบาตร “อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีของการต่อต้านการทุจริต”
ทั้งนี้มีการทวงถามถึง “เป้าหมายและการวัดผล” ของการคว่ำบาตร เนื่องจากพบว่าการคว่ำบาตรในหลายรูปแบบมักมุ่งเน้นที่ประเทศเฉพาะ อย่างอิหร่านและรัสเซียที่มีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ยกตัวอย่างกรณี การที่สภายุโรปคว่ำบาตรชาวรัสเซียกว่า 1,600 คน หลังการรุกรานยูเครนในปี 2565 การประเมินผลส่วนใหญ่เน้นไปที่จำนวนผู้ถูกคว่ำบาตร แทนที่จะพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง หรือการเปลี่ยนแปลงหลังการคว่ำบาตร จึงมีการเรียกร้องให้ทบทวนวิธีวัดประสิทธิผลของมาตรการเหล่านี้ ที่ควรให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าแค่ตัวเลขผู้ถูกคว่ำบาตร
ในท้ายที่สุด ได้มีการเน้นย้ำถึง “ผลร้าย” ที่อาจตามมาจากร่างกฎหมายการคว่ำบาตรการทุจริต อย่างการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบที่อาจนำไปสู่การทุจริตในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจ่ายสินบน หรืออาจเกิดเป็นการหลบเลี่ยงอย่างเป็นระบบ โดยหากมีการบังคับใช้จริงก็อาจเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างไม่ตรงจุด เพราะการคว่ำบาตรอาจไม่ใช่ทางออกของการทุจริตหรือการแก้ไขสถานการณ์คอร์รัปชัน
ในประเทศไทยมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการต่อต้านการทุจริตผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การรณรงค์ส่งเสริมความโปร่งใสและบังคับใช้กฎหมายต่อต้านคอร์รัปชัน ทั้งนี้หากพิจารณาเพิ่มเติมถึงแนวทางการต่อต้านการทุจริตด้วยการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับประสิทธิผลที่อาจไม่ได้แสดงถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน อีกทั้งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทำให้เห็นว่าแนวทางนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับการต่อต้านทุจริตในประเทศไทย ดังนั้นการต่อต้านคอร์รัปชันอาจเริ่มต้นจากการปฏิรูปด้านความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เพราะจะช่วยสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบ และประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้มากขึ้น ทั้งยังทำให้การป้องกันการทุจริตมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากยิ่งขึ้นด้วย
- ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ประเทศมหาอำนาจ มีแนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชันท้องถิ่นอย่างไร ?
ชวนศึกษารูปแบบองค์กรปกครองท้องถิ่นสหรัฐฯ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีทั้งการเมืองที่มั่นคง เศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รวมทั้งมีอิทธิพลต่อโลกในหลายด้าน เช่น วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการคอร์รัปชันได้ดีเป็นอันดับที่ 24 ของโลกจากการจัดอันดับดัชนีการรับรู้การทุจริตขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ
KRAC Insight สรุปงานเสวนา | ทำอย่างไรจะช่วยลดการคอร์รัปชันจากช่องว่างของกฎหมาย?
ชวนอ่านสรุป “การประชุมเชิงวิชาการด้านการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หัวข้อ “การประเมินและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงการคอร์รัปชันในกระบวนการนิติบัญญัติ”
KRAC Hot News I ถนนไม่ปลอดภัย เพราะปัญหาคอร์รัปชันที่สั่งสม
“กินกันเป็นระบบ” แต่บอกว่าเป็นการคอร์รัปชันส่วนบุคคล ทั้งที่งานศึกษาหลายชิ้นชี้ ความไม่ปลอดภัยบนท้องถนนมาจากการคอร์รัปชันที่สั่งสม อย่าปล่อยให้เรื่องราวสะเทือนใจจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาเป็นเพียงอุบัติเหตุหนึ่งที่ผ่านเลยไป แต่เราควรมาถอดบทเรียนป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดซ้ำ