KRAC Extract | LGBTQI+ กับคอร์รัปชัน: เมื่อศักดิ์ศรีถูกลดค่าในสังคมที่ไม่เท่าเทียม

LGBTQI+ กับคอร์รัปชัน: เมื่อศักดิ์ศรีถูกลดค่าในสังคมที่ไม่เท่าเทียม

เนื่องในโอกาส Pride Month เดือนแห่งการเฉลิมฉลองศักดิ์ศรี ความหลากหลาย และเสรีภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ KRAC ขอร่วมยืนหยัดเคียงข้างกลุ่ม LGBTQI+ ในการเรียกร้องสังคมที่เท่าเทียมและปลอดภัยสำหรับทุกคน!

ทว่าในโลกที่สิทธิมนุษยชนควรได้รับการคุ้มครองอย่างเสมอหน้า กลับยังมีผู้คนจำนวนมากต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว ซ่อนเร้น และถูกกดทับ ภายใต้ระบบที่เปิดช่องให้การคอร์รัปชันกลายเป็นเครื่องมือของการละเมิดสิทธิอย่างเลือดเย็น

ในคอลัมน์ KRAC Extract เดือนนี้ เราขอพาทุกท่านดำดิ่งไปสำรวจมิติความเจ็บปวดที่น้อยคนจะพูดถึง ความทุกข์ทรมานของ LGBTQI+ ที่ซ่อนอยู่ใต้เงากฎหมายและอำนาจรัฐ เมื่อการเป็น LGBTQI+ ไม่เพียงหมายถึงการถูกกีดกันจากสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ยังอาจกลายเป็นข้อหาให้ถูกรีดไถ กรรโชก หรือถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเพียงแค่เพราะ “เป็นตัวของตัวเอง”

ความเกี่ยวข้องระหว่างคอร์รัปชันกับการละเมิดสิทธิของ LGBTQI+

จากรายงานเรื่อง “The Impacts of Corruption on LGBTQI+ Rights” โดย Guilherme France (2022) ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงความเกี่ยวข้องระหว่างคอร์รัปชันกับการละเมิดสิทธิของ LGBTQI+ พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ LGBTQI+ ต้องเผชิญ และยังเสนอโอกาสในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ดีขึ้น

 

การเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQI+ ทำให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศตกอยู่ในสถานะที่เปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังคมหรือรัฐมีนโยบาย กฎหมาย หรือแนวปฏิบัติที่ “เลือกปฏิบัติ” ก็ยิ่งเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในทางมิชอบ เช่น เรียกรับเงินสินบนหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางเพศเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินคดี

จากรายงานพบว่าการแบล็กเมลและการขู่กรรโชกเป็นรูปแบบการคุกคามที่พบบ่อยมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้านกลุ่ม LGBTQI+ อย่างเช่น ไนจีเรีย รัสเซีย เคนยา และศรีลังกา ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐอาศัยอำนาจทางกฎหมายข่มขู่ LGBTQI+ ด้วยการจับกุมหรือเปิดโปงอัตลักษณ์ของพวกเขา เพื่อแลกกับเงินหรือผลประโยชน์อื่น ๆ

หรือในบางกรณี เจ้าหน้าที่ไม่เพียงรีดไถเงินจากเหยื่อ แต่ยังข่มขู่ให้เปิดเผยรายชื่อของ LGBTQI+ คนอื่น ๆ เพื่อจะได้ขยายขอบเขตการแบล็กเมลออกไปอีก กลายเป็นวงจรแห่งความหวาดกลัวอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด!

“Sextortion” รูปแบบคอร์รัปชันที่ LGBTQI+ ต้องเผชิญในสังคม

นอกจากนี้ กลุ่ม LGBTQI+ ยังต้องเผชิญกับการคอร์รัปชันที่แฝงมาพร้อมกับ sextortion หรือการเรียกร้องผลประโยชน์ทางเพศโดยใช้อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นการคุกคามอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีของกลุ่ม LGBTQI+ ซึ่งมักถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความเปราะบางของอัตลักษณ์ทางเพศในการล่อลวงและคุกคาม

เช่น ในเคนยาและไนจีเรีย มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับให้ LGBTQI+ โดยเฉพาะกลุ่มเลสเบี้ยน หญิงข้ามเพศ รวมถึงผู้ขายบริการทางเพศ ทำกิจกรรมทางเพศเพื่อแลกกับการปล่อยตัวหรือไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของพวกเขา

 

แม้กระทั่งการเข้าถึงบริการสาธารณะและสิทธิขั้นพื้นฐาน กลุ่ม LGBTQI+ ก็ถูกกีดกันด้วย โดยเฉพาะบริการที่มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อกลุ่ม LGBTQI+ และยิ่งไปกว่านั้น การให้บริการที่ควรอำนวยสิทธิให้กับกลุ่ม LGBTQI+ ก็กลับกลายเป็นแหล่งของการทุจริตและเลือกปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น ในกระบวนการเปลี่ยนชื่อหรือคำนำหน้าเพศในเอกสารราชการ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลข้ามเพศ เจ้าหน้าที่อาจมีการเรียกเก็บสินบน หรือปฏิเสธการดำเนินการอย่างไร้เหตุผล

หรือในภาคสาธารณสุข กลุ่ม LGBTQI+ ก็มักถูกปฏิเสธการรักษา ถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม หรือแม้กระทั่งถูกบังคับให้เข้ารับ “การบำบัดเปลี่ยนเพศ” ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง สะท้อนถึงการเหยียดหยามในระบบที่ควรโอบอุ้มผู้เปราะบางที่สุด อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจของ LGBTQI+ อย่างรุนแรง

“Nothing for us without us” หลักการที่ควรคำนึงถึงเมื่อออกเเบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน

เพราะฉะนั้น การออกแบบนโยบายหรือมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันให้ได้ผลในระยะยาว จึงไม่อาจมองเพียงแค่ตัวเลขความโปร่งใส หรือดัชนีวัดระดับการคอร์รัปชันเท่านั้น หากแต่ต้องมองให้ลึกลงไปถึง “ชีวิตของผู้คน” โดยเฉพาะชีวิตของผู้ที่เปราะบางในสังคมอย่าง LGBTQI+ ซึ่งมักตกหล่นจากนโยบายกระแสหลัก

โดยรายงานได้เสนอหลักการสำคัญที่ควรยึดถือในการออกแบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่ทั้งมีประสิทธิภาพและมีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเริ่มจากหลักการที่ว่า “Nothing for us without us” ที่กลุ่ม LGBTQI+ ไม่ควรถูกมองอยู่ในฐานะที่เป็นเพียงแค่ “กลุ่มเป้าหมาย” หรือ “ผู้ได้รับผลกระทบ” เท่านั้น แต่ควรมี สิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การดำเนินงาน หรือการประเมินผลของโครงการ เพราะไม่มีใครเข้าใจชีวิต ความกลัว ความหวัง และความเจ็บปวดของ LGBTQI+ ได้ดีเท่ากับตัวของพวกเขาเอง

อีกหนึ่งหลักการสำคัญคือ “Do no harm” ที่ทุกโครงการควรระมัดระวังไม่ให้เพิ่มความเสี่ยงต่อกลุ่ม LGBTQI+ เช่น การเปิดเผยตัวตนในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย หรือการใช้แนวทางจากประเทศหนึ่งไปใช้ในอีกประเทศหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงบริบทท้องถิ่นที่เป็นอยู่

และท้ายที่สุด การต่อต้านคอร์รัปชันต้องไม่มอง LGBTQI+ เพียงแค่ในมิติของเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น แต่ควรใช้มุมมองเชิงอัตลักษณ์ทับซ้อนแบบบูรณาการ (Intersectional approach) เพื่อให้เข้าใจว่าความเปราะบางของกลุ่มบุคคล LGBTQI+ อาจทับซ้อนกับปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ฐานะทางเศรษฐกิจ ความพิการ หรือแม้แต่สถานะผู้ลี้ภัย เพื่อให้การออกแบบนโยบายมองเห็นภาพรวมอันสลับซับซ้อนเหล่านี้ และตอบสนองต่อปัญหาด้วยความละเอียดอ่อนและถี่ถ้วน

จะเห็นได้ว่า แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่ก็ยังมีผู้คนที่ต้อง “ซื้อ” ความปลอดภัยของตนเองด้วยเงิน น้ำตา หรือแม้กระทั่งร่างกาย ฉะนั้น การพูดถึงสิทธิของกลุ่ม LGBTQI+ จึงไม่อาจแยกขาดจากการพูดถึงปัญหา คอร์รัปชัน เพราะเมื่ออำนาจรัฐถูกใช้อย่างไม่ชอบธรรม ผู้ที่อยู่ชายขอบของสังคมก็ย่อมรับผลกระทบมากที่สุดด้วยเช่นกัน

ดังนั้น การออกแบบนโยบายที่เห็นความเปราะบางของทุกชีวิต คือหัวใจสำคัญของการสร้างสังคมที่เท่าเทียม และหากเราย้อนกลับมามองว่าการคอร์รัปชันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของชีวิต ศักดิ์ศรี และสิทธิ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การต่อสู้กับคอร์รัปชัน คือการต่อสู้เพื่อความเป็นมนุษย์ของทุกคนด้วยเช่นกัน

คอลัมน์  “KRAC Extract” สกัดองค์ความรู้ที่จับต้องได้ผ่านการศึกษาสถานการณ์คอร์รัปชันโลกที่จะพาคุณไปสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชันในระดับสากล เจาะลึกรายงานจากแหล่งข้อมูลนานาชาติ และวิเคราะห์ประเด็น Hot ที่โลกกำลังจับตา เพราะคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และการเรียนรู้บทเรียนจากต่างประเทศคือหนึ่งในกุญแจสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

เรียบเรียงโดย ธนากาญจน์ กันทอง
ผู้ช่วยนักวิจัย และฝ่ายสื่อสารองค์ความรู้

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ

KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?

You might also like...

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | How to แก้ไข ใช้งบรัฐไม่เหลื่อมล้ำ

รัฐใช้งบประมาณเยอะขึ้น แต่ทำไมปัญหาความเหลื่อมล้ำแย่ลง ? งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการกระจายรายได้ของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางและความเกี่ยวข้องของดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาล” มีคำตอบและแนวทางแก้ไขจากงานวิจัยมาเล่าให้ฟัง

KRAC Insight x C4 Centre | ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเปิดเผย โปร่งใส และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อลดโอกาสการคอร์รัปชัน

KRAC ร่วมกับ C4 Centre มาเลเซีย สะท้อนปัญหา 3 ประการเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการคอร์รัปชันกับการทำลายระบบการจัดซื้อจัดจ้าง โดยถอดบทเรียนจากปัญหาของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดทำข้อเสนอสู่การปฏิบัติ

คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : การแจ้งเบาะแส เทคโนโลยี และการแก้คอร์รัปชัน

กระบวนการต่อต้านคอร์รัปชันของประเทศไทยและทั่วโลกในปัจจุบันกำลังพยายามผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันผ่านการแจ้งเบาะแส สังเกตได้จากงานเสวนาในหัวข้อ Unmasking Corruption, Empowering Whistleblowers ที่จัดขึ้นโดย OECD เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567 ณ กรุงปารีส