วันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านวาระที่ 3 ของร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมลพิษของประเทศไทย หลังจากที่มีการต่อสู้เรื่องนี้กันอย่างยาวนาน
แม้กฎหมายฉบับนี้จะยังต้องรอการพิจารณาของวุฒิสภา แต่การผ่านกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรก็ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญยิ่งแล้ว เพราะใช้เวลาพิจารณากันมาหลายปี และช่วงที่จะลงมติก็มีการถกเถียงกันยาวนานเกือบ 2 สัปดาห์
เหตุการณ์ต่าง ๆ นี้เองสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ซึ่งมีสาระสำคัญมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหามลพิษอย่าง PM 2.5 ซึ่งปัจจุบันสร้างวิกฤตทางด้านสุขภาพให้กับประชาชนคนไทยอย่างหนักหน่วง ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นต้นธารของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของประเทศไทยด้วย
เพราะกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้นำแนวคิด ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)’ มาบังคับใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการทางเศรษฐศาสตร์มากำหนดพฤติกรรมของผู้ก่อมลพิษ จากแต่เดิมการก่อมลพิษไม่มีต้นทุนชัดเจน แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้จะออกแบบมาตรการเฉพาะเพื่อคิดคำนวณหาต้นทุนของการปล่อยมลพิษสู่อากาศ เพื่อให้เอกชนตระหนักว่าการปล่อยมลพิษนั้นไม่ฟรี! แต่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ทั้งนี้มาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องมีข้อมูลด้านคาร์บอนที่มากเพียงพอ เป็นระบบ มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน เพราะปัญหาหมอกควันและดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของประเทศไทย ไม่ได้เกิดจากฝุ่น PM2.5 เพียงอย่างเดียว แต่ต้นตอที่แท้จริงโยงไปถึง “คาร์บอน” ด้วย
วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกระบวนการวัด รายงาน และทวนสอบข้อมูลด้านคาร์บอนที่มีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างโรงไฟฟ้า ซีเมนต์ ปิโตรเคมี โลจิสติกส์ เป็นต้น โดยต้องมีบัญชีคาร์บอนรายปีที่ผ่านการตรวจรับรองโดยบุคคลที่สาม
ข้อมูลส่วนสำคัญด้านคาร์บอนควรเปิดให้สาธารณะตรวจสอบได้ โดยคุ้มครองรายละเอียดที่เป็นความลับทางการค้าอย่างเหมาะสมเท่านั้น โดยรัฐบาลต้องจัดทำเป็นฐานข้อมูลกลาง มี API ที่เชื่อมต่อได้ เพื่อให้นักวิจัย หน่วยงานท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และประชาชนสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลต้องมีการจัดทำทะเบียนมลพิษอย่างเป็นระบบที่ผนวกทั้งคาร์บอนและมลพิษร่วมอื่น ๆ ทั้ง PM 2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรออกไซด์ ฯลฯ ให้อยู่ในระบบเดียวกัน ซึ่งจะทำให้รัฐไม่เพียงแค่เห็นว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านั้น “ปล่อยมลพิษมากหรือน้อย” แต่ได้รับรู้ด้วยว่า “ปล่อยอะไรและกระทบสุขภาพอย่างไร” อันจะช่วยให้สามารถจัดลำดับความสำคัญและออกมาตรการเฉพาะพื้นที่ได้แม่นยำมากขึ้น
ความสำคัญของข้อมูลคาร์บอนยิ่งทวีมากยิ่งขึ้นเมื่อกฎหมายฉบับนี้มอบบทบาทให้ท้องถิ่นอย่างชัดเจนในการเป็นผู้กำกับดูแลปัญหามลพิษในจังหวัดโดยให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด มีอำนาจประกาศเขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษ รวมถึงสั่งการในภาวะฉุกเฉินและวางมาตรการเชิงโครงสร้าง ซึ่งอำนาจเหล่านั้นจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมี “ข้อมูล” อยู่ในมือ
ศูนย์ข้อมูลระดับจังหวัดที่เชื่อมกับฐานข้อมูลส่วนกลางแบบสองทางคือหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษในอนาคต แผนที่ความเสี่ยงที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องจะช่วยชี้ให้เห็นคลัสเตอร์และรูปแบบการปล่อยมลพิษในระดับพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถพยากรณ์และสร้างระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าได้
และอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าเป้าหมายสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการทำให้มลพิษมีต้นทุน โดยที่ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย และเมื่อต้องการใช้หลักการนี้อย่างจริงจัง สิ่งสำคัญคือที่มาของข้อมูลมลพิษต้องเป็นสิ่งที่วัดได้ เปิดเผย และโปร่งใส ทั้งกับตัวภาคเอกชนเอง รวมไปถึงกับประชาชนในพื้นที่ด้วย นอกจากจะตรวจสอบและเก็บค่าใช้จ่ายจากเอกชนแล้ว สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องตรวจสอบได้ด้วยว่าข้อมูลที่รัฐเก็บมานั้นถูกต้อง และเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ในขณะเดียวกันการมีข้อมูลคาร์บอนที่ชัดเจนยังช่วยให้ภาคเอกชนตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบกิจการของตัวเองได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อต้นทุนของการปล่อยมลพิษสูงเกินกว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนผลิตสินค้า เอกชนย่อมต้องแสวงหานวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาทดแทนระบบการผลิตเดิม เพื่อให้สินค้าของตัวเองแข่งขันได้
นอกจากนี้ข้อมูลคาร์บอนของภาครัฐที่เปิดเผย และโปร่งใส ยังจะช่วยรับรองสถานะของการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภาคเอกชน ซึ่งกำลังเป็นทิศทางสำคัญของการส่งเสริมการลงทุนทั้งจากภายนอกและภายในประเทศด้วย
ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าวันนี้ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังจะมีกฎหมายด้านอากาศสะอาดที่เกี่ยวข้องกับหลากหลายประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหามลพิษ
แต่การผลักดันประเด็นดังกล่าวนี้สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ เป็นระบบ ได้มาตรฐาน เปิดเผย และโปร่งใส โดยเฉพาะข้อมูลคาร์บอน ซึ่งถือเป็นต้นตอสำคัญของมลพิษและเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
- Ji, Z., Chang, Y., & Zhou, F. (2025). Unlocking Synergies: How Digital Infrastructure Reshapes the Pollution-Carbon Reduction Nexus at the Chinese Prefecture-Level Cities. Sustainability, 17(15), 7066.
- Chai, Z., Zhu, X., Sun, Y., & Chen, X. (2025). Evaluating Pollution Reduction and Carbon Mitigation in China’s Zero-Waste Cities. Sustainability, 17(7), 3215.
- Cheng, X., Yu, Z., Gao, J., Liu, Y., & Jiang, S. (2024). Governance effects of pollution reduction and carbon mitigation of carbon emission trading policy in China. Environmental Research, 252, 119074.
ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I มันจบแล้วครับ…(ถ้า) นาย (โกง) : รู้จักกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะทุจริต
การแจ้งเบาะแส เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถลดการคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคงไม่มีใครให้มีข้อมูลเชิงลึกได้เท่า “คนใน” องค์กรเอง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนในองค์กรไม่กล้าให้แจ้งเบาะแสทุจริต คือ “ความกลัว”
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก 3 แนวทาง Support ผู้แจ้งเบาะแสทุจริต
ยิ่งมีคนแจ้งเบาะแสมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการตรวจสอบและช่วยนำคนผิดมาลงโทษมากเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนที่มีข้อมูลไม่อยากแจ้งเบาะแส เพราะกลัวว่าถ้าแจ้งไปแล้วก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รางวัลแด่คนช่าง “แจ้ง”
กุญแจสำคัญที่จะช่วยจัดการคอร์รัปชันได้ คือ “การมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส” เพราะถ้าทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบคอร์รัปชันภายในหน่วยงานรัฐ ช่วยกันแจ้งเบาะแส จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐรู้สึกกดดัน กลัวจะถูกจับได้และไม่กล้าคอร์รัปชัน ภาครัฐจึงมีความพยายามอย่างมากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน


