
ศึกษาการคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผ่านการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา
จากการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคของเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน (SEA-ACN) ในหัวข้อ Understanding Public Procurement ระหว่างวันที่ 17 ถึง 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ได้มีการเสวนาเกี่ยวกับกรณีการคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายถึงกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และแลกเปลี่ยนแนวทางในการต่อต้านการคอร์รัปชันของแต่ละประเทศในภูมิภาค
การเสวนาในครั้งนี้ประกอบด้วยวิทยากรทั้งหมด 4 ท่าน ได้แก่ คุณ Cynthia Gabriel จากประเทศมาเลเซีย คุณ Laode Syarif จากประเทศอินโดนีเซีย คุณ Soh Kee Hean จากประเทศสิงคโปร์ และตัวแทนจากประเทศกัมพูชาอีกหนึ่งท่าน โดยมี ศูนย์ C4 Center ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการตลอดการเสวนา
มาเลเซีย : กรณีศึกษาจากการจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำ Scorpène
กรณีการจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำ Scorpène จำนวน 2 ลำ จากประเทศฝรั่งเศส เป็นกรณีอื้อฉาวที่ยังไม่ได้ข้อยุติทางกฎหมายและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาปัญหาคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภภาครัฐในประเทศมาเลเซีย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกับกระทรวงกลาโหม และส่งผลต่อปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และอาชญากรรมข้ามชาติ
การจัดซื้อจัดจ้างซื้อเรือดำน้ำดังกล่าวเกิดขึ้นจากข้อตกลงโดยตรงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลฝรั่งเศส (G2G) โดยมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะตลอดการทำข้อตกลงดังกล่าว อีกทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องในข้อตกลงนี้ คือ รัฐวิสาหกิจของฝรั่งเศส ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อว่า DCNS แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น Naval Group สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นของมาเลเซีย พยายามหยิบยกประเด็นอื้อฉาวนี้ขึ้นมาอภิปรายในรัฐสภา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากรัฐบาล อีกทั้งในขณะนั้น องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนมาเลเซียได้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลในประเทศฝรั่งเศส และได้รับแจ้งจากทางทนายความว่าเคยมีคดีในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นในประเทศปากีสถาน
หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ คือ นาย Razak Baginda ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับเงินสินบนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศฝรั่งเศส เพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางในการจัดทำข้อตกลงจัดซื้อจัดจ้างเรือดำน้ำระหว่างมาเลเซียและฝรั่งเศส อีกทั้ง นาย Razak Baginda ยังเป็นคนใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรี Najib Razak ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีอำนาจในการลงนามในข้อตกลงจัดซื้อจัดจ้างทางด้านกลาโหม นอกจากนี้ นาย Razak Baginda ยังเป็นประธานบริษัทเปล่า (shell company) ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นบริษัทในการรับเงินสินบน ดังนั้น อัยการฝรั่งเศสจึงได้ดำเนินการตั้งข้อหาต่อนาย Razak Baginda และผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน ในความผิดฐานติดสินบนข้ามชาติ และในปัจจุบันมีการรวบรวมข้อมูลที่เพียงพอที่จะนำคดีเข้าสู่การไต่สวนอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลาย ค.ศ. 2025
นอกจากนี้ ในคดีอื้อฉาวดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของนาย Razak Baginda ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมายนี้ โดยภรรยาของนาย Razak Baginda มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลบริษัทเปล่าที่ตั้งขึ้นเพื่อรับสินบน ยิ่งไปกว่านั้น คดีนี้ยังเชื่อมโยงกับการใช้อำนาจของรัฐวิสาหกิจที่หมายรวมถึงธนาคารที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลในการเคลื่อนย้ายเงิน และส่งผลทำให้การแจ้งเบาะแสกับผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น ในการที่เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน (SEA-ACN) ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และการสร้างสภาพแวดล้อมหรือพื้นที่ที่ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสคอร์รัปชันได้อย่างปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งนอกเหนือจากกรณีของประเทศมาเลเซีย จากการศึกษายังพบว่าประเทศในภูมิภาคอาเซียนอื่น ๆ ต่างก็มีปัญหาในอัตราการฟอกเงินที่สูงเป็นอย่างมาก จึงทำให้องค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน จำเป็นที่จะต้องวางกลยุทธ์และมีการกำหนดแนวทางในการเข้าหารือกับรัฐบาลของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตข้ามชาติต่อไป
กัมพูชา : 3 กรณีศึกษาจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ในปัจจุบัน หลายโครงการของประเทศกัมพูชาที่กำลังดำเนินการอยู่และส่อแววว่าอาจมีการทุจริต ไม่สามารถที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวหรือได้รับการตรวจสอบจากสาธารณะได้ เนื่องจากไม่มีการสืบสวนอย่างเป็นทางการ โดยโครงการที่ส่อแววทุจริตเหล่านี้ ล้วนเป็นโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในรูปแบบของข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยผู้ร่วมเสวนาจากกัมพูชาได้ยกกรณีตัวอย่างมาอภิปรายทั้งหมด 3 โครงการ ดังนี้
1.โครงการขุดคลองฟูนันเดโช (Funan Techo Canal)
โครงการนี้เชื่อมโยงกับปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Tensions) ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน และเป็นโครงการที่แสดงให้ถึงบทบาทของจีนในการพัฒนาและสร้างโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน โดยโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเปิดเส้นทางการเดินเรือใหม่ในอ่าวไทย และเป็นทางเลือกสำรองแทนทะเลจีนใต้ โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีกทั้ง ได้มีความร่วมมือระหว่างกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งของกัมพูชา และบริษัท China Road and Bridge Corporation เพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในโครงการนี้ และต่อมารัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจเปลี่ยนแผนและพยายามเข้าซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ไม่สามารถจัดหางบประมาณได้มากเพียงพอ จึงส่งผลให้รัฐบาลต้องออกพันธบัตรและเจรจากับบริษัทประกันภัยเพื่อหาแหล่งเงินทุน จนทำให้นักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มีความเชื่อมโยงกับนักธุรกิจผู้มีอิทธิพล อีกทั้งปัญหาสำคัญของโครงการนี้ คือ การขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐของประเทศกัมพูชา
2. โครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติเดโช (Techo International Airport)
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสายการบิน Cambodian Airways และบริษัท Overseas Cambodian Investment Corporation (OCIC Group) ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ มีรายงานว่าโครงการดังกล่าว อาจมีความเชื่อมโยงกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ตั้งชื่อสนามบินแห่งนี้ตามชื่อตำแหน่งของตนเอง และนอกจากโครงการดังกล่าว บริษัท OCIC Group ยังเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างเมืองศูนย์การค้าบนเกาะเพชร (Diamond Island) รวมถึงโครงการก่อสร้างบนเกาะอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งโครงการทั้งหมดมีรายงานว่ามีความเชื่อมโยงกับสมเด็จฮุน เซน
3. โครงการก่อสร้างทางด่วนพนมเปญ
สีหนุวิลล์ (Phnom Penh Sihanouk expressway) – โครงการดังกล่าวมีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากเดิมรัฐบาลได้มีการชี้แจงต่อสาธารณชนต่อว่า โครงการนี้มีการระดมทุนแบบ Bill-Operate-Transfer แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าเงินทุนในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว มาจากการกู้ยืมเงินกับธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศจีน (China Development Bank: CDB) โดยมีการกู้ยืมเงินจำนวน 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งโครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของประเทศจีน ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าจากเวียดนามสู่กัมพูชาและลาว
อินโดนีเซีย : กรณีศึกษาการจัดซื้อจ้างภาครัฐด้านกลาโหม
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2024 คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งอินโดนีเซีย (Komisi Pemberantasan Korupsi หรือ KPK) ได้รายงานว่ามีการตรวจพบคดีคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จำนวน 407 คดี และคดีการติดสินบน จำนวน 1,052 คดี นอกจากนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของอินโดนีเซียได้มีการปรับปรุงและแก้ไขมาแล้วมากถึง 18 ครั้ง โดยหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและดูแลการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล คือ สถาบันนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการภาครัฐ (LKPP) ซึ่งทุกกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ จะต้องดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ LKPP โดยใช้ระบบ e-catalogue และ e-procurement
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ พบว่า ระบบดังกล่าวมีการยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างบางประเภท เช่น โครงการด้านความมั่นคง โครงการของรัฐวิสาหกิจ การจัดซื้อจัดจ้างในสถานการณ์ฉุกเฉิน และโครงการขนาดเล็กอื่น ๆ นอกจากนี้ ในการปกครองระดับท้องถิ่น โครงการจัดซื้อจัดจ้างมักจะถูกแบ่งเป็นโครงการย่อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ทั้งนี้ จากโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด มีเพียงร้อยละ 50 ถึง 60 ที่ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว และยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับขีดความสามารถของสถาบัน LKPP ในการประเมินคำขอยื่นประมูลทั้งหมด และการดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและความเหมาะสม (due diligence) ที่มีประสิทธิภาพ
ผู้ร่วมเสวนาได้ยกตัวอย่างกรณีการจัดซื้อจัดจ้างด้านความมั่นคง เช่น กรณีคดีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ทางการทหาร ซึ่งตามข้อตกลงของคดีจะต้องดำเนินการไต่สวนผ่านศาลแพ่ง แต่ในระหว่างกระบวนการไต่สวน คดีกลับถูกดำเนินการผ่านศาลทหาร อีกทั้ง ผู้ร่วมเสวนายังได้ยกตัวอย่างกรณีความขัดแย้งระหว่างสายการบิน Garuda Indonesia และ บริษัท Rolls Royce โดยเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า บุคคลที่กำลังถูกสืบสวนในกรณีดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับการจ่ายสินบน ซึ่งเงินสินบนเหล่านี้ถูกโอนผ่านไปยังบริษัทเปล่า (shell company) ในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนายังได้อธิปรายเพิ่มว่า การปฏิรูปการต่อต้านการทุจริตในอินโดนีเซียได้มุ่งเน้นไปที่การป้องกันการทุจริตในรัฐวิสาหกิจ โดยมีการปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส พร้อมกับการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตในข้าราชการปฏิบัติงาน และการเพิ่มขีดความสามารถของสถาบัน LKPP
สิงคโปร์ : แนวทางปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างและการป้องกันการคอร์รัปชัน
ในปัจจุบัน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของสิงคโปร์ทุกรูปแบบ จะถูกดำเนินการผ่านระบบกลางที่มีชื่อว่า Government Electronic Business System (GeBIZ) ผ่านเว็บไซต์ gebiz.gov.sg โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งในช่วงระยะเวลาก่อนและหลังประกาศการประมูลโครงการ นอกจากนี้ ในกระบวนการประเมินโครงการ หน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุมัติโครงการและคณะกรรมการประเมินการจัดซื้อจัดจ้างจะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์และการแทรกแซงการดำเนินงานระหว่างกัน
นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนาจากสิงคโปร์ ยังได้เน้นย้ำถึงแนวปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานสำคัญสองประการ คือ การสร้างระบบที่สามารถระบุช่องโหว่และจุดบกพร่องได้ และการใช้งานระบบเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใช้ช่องโหว่ดังกล่าวในการแสวงหาผลประโยชน์ นอกจากนี้ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างยังจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบเป็นประจำ พร้อมทั้งมีระบบที่ตรวจสอบถ่วงดุลและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทั้งในการตรวจสอบภายในและการตรวจสอบประจำปี
แต่อย่างไรก็ตาม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องเลือกทำการตรวจสอบแบบคัดเลือกในบางโครงการ เนื่องจากไม่สามารถทำการตรวจสอบทุกหน่วยงานที่ทำสัญญากับรัฐบาลได้ โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะเผยแพร่รายงานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงต่าง ๆ ของรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานสืบสวนคอร์รัปชัน (Corrupt Practices Investigation Bureau: CPIB) ซึ่งจะมีการสอบสวนบุคคลระดับสูงด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง ผู้ร่วมเสวนายังได้กล่าวถึงมาตรการการลงโทษกับบริษัทที่มีการคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านั้นเข้าร่วมการประมูลโครงการ รวมถึงมีการขึ้นบัญชีดำกับรายชื่อกรรมการของบริษัทที่มีการคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ยังไม่พบการรายงานกรณีทุจริตหรือคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับโครงการเหล่านี้ โดยผู้เข้าร่วมเสวนาได้ยกตัวอย่างโครงการ Sports Hub ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านการร่วมลงทุนแบบ PPP แต่ประสบปัญหาในการดำเนินงาน และในที่สุดรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลโครงการต่อในปี ค.ศ. 2022
สุดท้ายนี้ จากการเสวนาข้างต้นถึงกรณีศึกษาต่าง ๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในภูมิภาคอาเซียน โดยผู้เข้าร่วมเสวนาทุกท่านได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเครือข่าย SEA-ACN ที่จะเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริต รวมถึงการสร้างระบบนิเวศในการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
16 พฤษภาคม 2568
ผู้แต่ง
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หน่วยงานสนับสนุน


หัวข้อ
Related Content
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | หลังฉากความสำเร็จการพัฒนาโครงการ งบประมาณถึงมือชาวบ้านหรือมือใคร ?
ทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกหลายโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการพัฒนาชุมชน แต่กลับสูญเปล่า หรือไม่คุ้มค่ากับที่ตั้งใจไว้ ทำให้ชาวบ้านที่ฝันไกลว่าอยากให้ชุมชนพัฒนาแค่ไหน แต่งบประมาณกลับไปไม่ถึง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก “3 พันธมิตร” ต้นตอของการคอร์รัปชันในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ หมายถึงโครงการก่อสร้างที่มีงบประมาณตั้งแต่ 1 พันล้านบาทขึ้นไป หรือที่เรามักได้ยินว่า “เมกะโปรเจกต์” (Mega Project) และด้วยการที่เป็นโครงการที่มีงบประมาณจำนวนมาก การทุจริตในโครงการประเภทนี้จึงสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับงบประมาณประเทศ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ชวนดู 5 อันดับการคอร์รัปชันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สถิติร้องเรียนเรื่องทุจริตของเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีต่อ ป.ป.ช ช่วงปี 2553-2557 พบว่าตลอด 5 ปี มีการร้องเรียนมากถึง 6,260 เรื่อง หรือตกปีละ 1,252 เรื่อง ซึ่งถือว่าแต่ละปีมีไม่น้อยเลย

