อะไรคือจุดอ่อนที่ทำให้เกิดเงินทอนและการฟอกเงินในวัด ?
หลายปีที่ผ่านมา “วัด” ถูกจับตาในประเด็นของการทุจริตและการฟอกเงินจากประชาชนมากขึ้น เนื่องจากวัดเป็นศูนย์กลางความศรัทธาและได้รับเงินสนับสนุนจากหลายช่องทางจากสังคม ทว่าวัดบางแห่งกลับใช้ช่องทางนี้ในการฟอกเงิน การฉ้อโกง หรือทุจริตงบประมาณรัฐ ผ่านการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีวัดเพื่อทำให้ยากต่อการตรวจสอบ
KRAC ชวนอ่านงานวิจัยเรื่อง “แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคลและธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกง และการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร” โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) (2564)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ แนวโน้ม ความเสี่ยงในการถูกใช้ฟอกเงิน รูปแบบและวิธีการฟอกเงินในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการผ่านนิติบุคคลในรูปแบบต่าง ๆ หนึ่งในข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ วัดในประเทศไทยมีรายได้จากการบริจาคของประชาชนและเงินสนับสนุนจากภาครัฐจำนวนมาก แต่ระบบการรายงานและการตรวจสอบบัญชียังขาดความโปร่งใส
งานวิจัยได้ลงลึกไปยังรูปแบบการฟอกเงินผ่านกรณีศึกษา 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 : “เงินทอนวัด”
กรณีนี้เริ่มจากการที่หน่วยงานรัฐจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัดในโครงการต่าง ๆ เช่น การบูรณปฏิสังขรณ์วัดหรือการพัฒนาสาธารณูปโภค โดยมีกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐติดต่อกับวัดล่วงหน้า เพื่อให้วัดยื่นขอรับงบประมาณตามโครงการ เมื่อวัดได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว จะถูกกำหนดให้ต้อง “คืนเงินบางส่วน” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องในรูปแบบของ “เงินทอน” ผ่านการโอนเงินหรือจ่ายเงินสด
ลักษณะเด่นของกลไกในกรณีนี้คือ การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในนามวัดซึ่งควรใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่กลับมีการตกลงกันล่วงหน้าว่าจะต้องคืนเงินบางส่วนให้เจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่มีการตรวจสอบที่โปร่งใส เงินที่ถูกทอนคืนเหล่านี้จะถูกนำไปหมุนเวียนในระบบการเงิน
ตัวอย่าง เช่น โอนผ่านบัญชีวัดหรือบัญชีส่วนบุคคลหลายทอด เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบเส้นทางที่มาที่ไป และสุดท้ายจะถูกแปรสภาพเป็นทรัพย์สินหรือเงินสดที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัญหามาจาก
- จุดอ่อนในระบบจัดสรรและตรวจสอบงบประมาณวัด: กลไกการอุดหนุนงบประมาณวัดของรัฐขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก หน่วยงานกำกับดูแลไม่สามารถติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับวัด: การที่เจ้าหน้าที่รัฐและพระสงฆ์ตกลงแบ่งผลประโยชน์กันล่วงหน้า สะท้อนปัญหาการสมรู้ร่วมคิดและขาดระบบถ่วงดุลตรวจสอบ
- การหมุนเวียนเงินหลายทอดเพื่ออำพรางเส้นทางการเงิน: มีการโอนเงินผ่านหลายบัญชีทั้งของวัดและบุคคล เพื่อให้ยากต่อการติดตาม ตรวจสอบ
- ขาดกลไกการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ: เงินงบประมาณรัฐที่ควรจะถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณะกลับขาดการรายงานหรือเปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายอย่างโปร่งใสต่อประชาชน
กรณีที่ 2 หลวงปู่เณรคำ
กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้สถานะพระสงฆ์และองค์กรทางศาสนาเพื่ออำพรางเส้นทางการเงินและฟอกเงินผิดกฎหมาย รูปแบบที่เกิดขึ้นเริ่มจากการรับเงินบริจาคจำนวนมากจากศรัทธาประชาชน โดยเงินเหล่านี้จะถูกโอนเข้าบัญชีพระเณรคำเอง รวมถึงบัญชีของพระสงฆ์และบุคคลใกล้ชิดจำนวนหลายบัญชี
ลักษณะสำคัญของการฟอกเงินในกรณีนี้ คือ การเคลื่อนย้ายเงินผ่านบัญชีหลายทอด เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบแหล่งที่มาและปลายทางของเงิน เมื่อตรวจสอบบัญชีพบว่าเงินบริจาคถูกแยกย้ายและนำไปใช้จ่ายในลักษณะส่วนตัว เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ รถยนต์หรู และทรัพย์สินมีค่าอื่น ๆ ในนามส่วนตัวหรือบุคคลใกล้ชิด ไม่ได้นำเงินไปใช้เพื่อกิจกรรมหรือสาธารณประโยชน์ของวัดตามที่แจ้งต่อศาสนิกชน ซึ่งปัญหามาจาก
- การแยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีวัดไม่ชัดเจน: พระสงฆ์และวัดไม่มีการกำหนดระบบบัญชีที่ชัดเจนหรือแยกประเภทบัญชีเงินบริจาคกับบัญชีส่วนตัวของพระ ส่งผลให้เงินจำนวนมากถูกโอนย้ายไปยังบัญชีที่ยากต่อการตรวจสอบ
- ขาดการเปิดเผยข้อมูลและรายงานทางการเงิน: แม้วัดจะมีรายรับจากการบริจาคในปริมาณสูงมาก แต่กลับไม่มีการจัดทำบัญชีหรือรายงานทางการเงินต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ขาดการรายงานการใช้จ่ายต่อผู้มีส่วนได้เสียหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
- อาศัยความศรัทธาและสถานะพระเป็นเกราะป้องกัน: สังคมไทยมีความศรัทธาในพระและวัดสูง จึงมักไม่กล้าตั้งคำถามหรือเรียกร้องความโปร่งใส ทำให้เกิดช่องว่างในการตรวจสอบ
พัฒนาระบบบัญชีวัด ป้องกันการฟอกเงิน
เพื่อป้องกันการฟอกเงินโดยใช้วัดเป็นตัวกลาง งานวิจัยเสนอให้มีการพัฒนาระบบบัญชีและการบริหารจัดการทางการเงินของวัดให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชีและรายงานทางการเงินอย่างเป็นระบบ
วัดต้องเปิดเผยข้อมูลการรับ-จ่ายเงินต่อสาธารณะ รวมถึงให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินและการใช้จ่ายเงินอุดหนุนอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ศรัทธามีบทบาทในการตรวจสอบและเรียกร้องความโปร่งใสจากวัด เพื่อป้องกันไม่ให้วัดถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการทางกฎหมายและกลไกติดตามที่ชัดเจนจะช่วยยกระดับความโปร่งใสและลดความเสี่ยงของการฟอกเงินผ่านวัดในระยะยาว
แม้การฟอกเงินผ่านวัดจะเป็นเรื่องที่หลายคนอาจมองว่าไกลตัวและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ถ้าเทียบกับการฟอกเงินในรูปแบบอื่น ๆ แต่ข้อค้นพบจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าช่องโหว่ในระบบการเงินของวัดและความศรัทธาที่สังคมมีต่อศาสนสถานกลับกลายเป็นจุดเสี่ยงสำคัญที่เอื้อให้ขบวนการฟอกเงินหรือทุจริตแฝงตัวเข้ามาได้โดยง่าย รัฐจึงต้องเร่งป้องกันและควบคุมเพื่อให้วัดในฐานะศูนย์กลางจิตใจของสังคมไทยให้คงอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาและความโปร่งใสอย่างแท้จริง
ประเด็นเรื่องการฟอกเงินที่มาจากวัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคลและธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกง และการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร” โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) (2564) งานวิจัยนี้ ยังนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น รูปแบบการฟอกเงินผ่านนิติบุคคลและธุรกิจบังหน้า การใช้ทนายความและนักบัญชีเป็นตัวกลางในการซุกซ่อนเส้นทางการเงิน การฟอกเงินผ่านบริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตลอดจนการวิเคราะห์ช่องโหว่และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อปิดช่องทางฟอกเงินในภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย
ผู้ที่สนใจสามารถอ่านสรุปงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
นิพนธ์ พัวพงศกร กิรติพงศ์ แนวมาลี, เทียนสว่าง ธรรมวณิช, ธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ, ธิปไตร แสละวงศ์, ชณิสรา ดำคำ, อุไรรัตน์ จันทรศิริ, ภูมิจิต ศรีอุดมขจร และกะรัตลักษณ์ เหลี่ยมเพชร. (2564). แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคล และธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกงและการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหากำไร. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ).
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?