สินบนแก้ได้ แต่ต้องแก้อย่างไร ? งานวิจัยมีคำตอบ
“สินบน” หนึ่งในปัญหาที่สร้างความเสียหายมหาศาล ทั้งต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ระบุว่า ในทุก ๆ ปี ทั่วโลกมีการจ่ายสินบนราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเงินอีกราว 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่รั่วไหลเพราะการคอร์รัปชัน
ในประเทศไทยเอง มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการเรียกรับสินบน ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายป้องกันการทุจริต หรือการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อมาแก้ไขปัญหาโดยตรง ตัวอย่างเช่น การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)
เพื่อให้เข้าใจเรื่องสินบนมากขึ้น KRAC ชวนอ่านข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง “การรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย ศิรินันท์ วัฒนศิริธรรม (2566) ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการรับสินบนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงปัจจัยที่เป็นต้นเหตุ และแนวทางแก้ไขปัญหา
เจาะลึกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเรียกรับสินบนใน อปท.
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ “ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเรียกรับสินบน” ซึ่งมาจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) โดยมีผู้ให้สัมภาษณ์คือ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. ที่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยคดีรับสินบนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน
จากความเห็นของผู้ให้สัมภาษณ์ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเรียกรับสินบนทั้ง 7 ปัจจัยมีดังนี้
- ความซื่อสัตย์สุจริต: ผู้สัมภาษณ์มองว่าปัจจัยนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากเจ้าหน้าที่ขาดจริยธรรม แม้ระบบการตรวจสอบจะเข้มแข็งเพียงใด ก็ยังสามารถมีช่องทางเรียกรับสินบนได้
- อิทธิพลทางการเมือง: นักการเมืองท้องถิ่นที่เข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีไม่โปร่งใส อาจใช้ตำแหน่งเพื่อถอนทุนคืน
- ตำแหน่งหน้าที่ที่เอื้อให้เรียกรับผลประโยชน์: ตำแหน่งที่มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตโดยตรง มักเอื้อให้เจ้าหน้าที่สามารถเรียกรับสินบนได้
- ผลตอบแทนที่ได้รับ: ค่าตอบแทนหรือประโยชน์ที่ล่อใจ ยิ่งมีมูลค่าสูง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
- โอกาส: ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูง ยิ่งมีช่องทางมากขึ้นในการแสวงหาประโยชน์
- การบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพ: หากระบบตรวจสอบอ่อนแอ ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจ ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
- กฎหมาย: กฎหมายที่ซับซ้อนหรือมีช่องโหว่ อาจเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นเครื่องมือเรียกรับสินบน
แล้วเราจะหยุดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างไร ?
งานวิจัยได้เสนอ “แนวทางแก้ไข” ที่น่าสนใจไว้ 4 แนวทาง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แนวทางแรก “ต้องปลูกฝังจิตสำนึกความซื่อสัตย์ให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ” โดยเฉพาะผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ และลูกจ้างในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และยึดมั่นในคุณธรรมในการปฏิบัติหน้าที่
ต่อมา “ต้องลดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน” ด้วยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ระบบอนุญาตออนไลน์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเจรจาใต้โต๊ะ และลดโอกาสในการเรียกรับผลประโยชน์
อีกประเด็นหนึ่งคือ “การดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและจริงจัง” ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับสินบน เพื่อสร้างความเกรงกลัว และเป็นบทเรียนแก่บุคลากรในหน่วยงานอื่น ๆ ว่า “คอร์รัปชันมีต้นทุนที่ต้องจ่าย”
และสุดท้าย “สื่อสารสาธารณะด้วยคดีจริง” โดยการนำคดีสินบนที่เกิดขึ้นจริงมาเผยแพร่ให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้รับรู้ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษา เตือนใจ และสร้างแรงกดดันทางสังคม
เร่งสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ และเปิดเผยอย่างจริงจัง
แม้ปัญหาการรับสินบนจะฝังรากลึกในหลายระดับของสังคมไทย แต่ข้อเสนอจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า “การป้องกันและแก้ไข” ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากทุกฝ่ายร่วมกันสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ และเปิดเผยอย่างจริงจัง
เพราะการแก้ไขปัญหาสินบน ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือ “ความร่วมมือของทุกคน” ในสังคม เพื่อสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของประเทศต่อไป
ประเด็นเรื่องปัจจัยที่ส่งผลกับการเรียกรับสินบนมากเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย ศิรินันท์ วัฒนศิริธรรม (2566) งานวิจัยยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น รูปแบบการรับสินบนที่พบบ่อยในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การวิเคราะห์ตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงข้อเสนอในการปรับปรุงกลไกป้องกันทุจริตทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติการ โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
เสนอกำหนดนโยบายจากปัญหาจริงในพื้นที่
อีกทั้งควรเพิ่มความโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะให้มากขึ้น รวมถึงการนำข้อมูลจากระบบจัดซื้อจัดจ้างมาใช้ในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ประชาชนและองค์กรภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เพื่อสร้างแรงกดดันทางสังคมและลดโอกาสการสมยอมระหว่างภาครัฐกับผู้ประกอบการอย่างได้ผล ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่ไม่ใช่แค่ “เขียนไว้ในกฎหมาย” แต่ต้องลงมือทำให้เป็นจริงในทุกระดับ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐไทยปลอดทุจริตได้อย่างแท้จริง
กรณีคำร้องเรียนเกี่ยวกับการคอร์รัปชันการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยเท่านั้น งานวิจัยเรื่อง “การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติ การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560” โดย ศักรินทร์ นิลรัตน (2566) ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การวิเคราะห์กลโกงและรูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเปิดเผยช่องโหว่ของกฎหมายและระเบียบที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแนบเนียน โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
ศักรินทร์ นิลรัตน์, ศิรินันท์ วัฒนศิริธรรม, สยาม ธีระบุตร และ ศิรินทิพย์ แสงมิ่ง. (2566). การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | หลังฉากความสำเร็จการพัฒนาโครงการ งบประมาณถึงมือชาวบ้านหรือมือใคร ?
ทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกหลายโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการพัฒนาชุมชน แต่กลับสูญเปล่า หรือไม่คุ้มค่ากับที่ตั้งใจไว้ ทำให้ชาวบ้านที่ฝันไกลว่าอยากให้ชุมชนพัฒนาแค่ไหน แต่งบประมาณกลับไปไม่ถึง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก “3 พันธมิตร” ต้นตอของการคอร์รัปชันในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ หมายถึงโครงการก่อสร้างที่มีงบประมาณตั้งแต่ 1 พันล้านบาทขึ้นไป หรือที่เรามักได้ยินว่า “เมกะโปรเจกต์” (Mega Project) และด้วยการที่เป็นโครงการที่มีงบประมาณจำนวนมาก การทุจริตในโครงการประเภทนี้จึงสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับงบประมาณประเทศ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ทำไมบริษัทก่อสร้างไทย อาจเป็นได้แค่ผู้รับจ้างของบริษัทจีน ?
ชวนคาดการณ์การเข้ามาของจีนในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ภายใต้กฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 โดยงานวิจัยนี้พบว่า อีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทจากจีนอาจสร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไม่น้อยทีเดียว