
หากเราจะมองหาตัวอย่างร่วมสมัย ของประเทศที่เศรษฐกิจพังพินาศจนต้องประกาศผิดนัดชำระหนี้ ข้าวของราคาแพงเป็นเท่าตัวในช่วงเวลาไม่กี่เดือน สังคมแตกสลาย และประชาชนออกมาลุกฮือโค่นล้มรัฐบาล อาจไม่มีกรณีศึกษาใดสดใหม่ไปกว่าศรีลังกา
ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่ามีศักยภาพสูงในภูมิภาคเอเชียใต้ ทว่า เพราะการเมืองที่ถูกครอบงำโดยตระกูลเดียว กลับกลายเป็นประเทศที่ต้องเผชิญวิกฤตสาหัสทั้งด้านเศรษฐกิจ การคลัง และความเชื่อมั่นในสถาบันรัฐ
งานวิจัยโดย Ramesh และ Vinayagathasan ในปี 2024 ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การทุจริต การบิดเบือนกลไกนิติรัฐ การไร้กลไกตรวจสอบถ่วงดุล และการใช้งบประมาณรัฐอย่างไร้ประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กัดกร่อนประสิทธิภาพรัฐบาลของศรีลังกาตลอดหลายปีที่ผ่านมาภายใต้ตระกูลราชปักษา
งานศึกษานี้พบว่าแม้การควบคุมการทุจริตและการยึดมั่นในหลักนิติรัฐจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของรัฐได้จริงในระยะยาว แต่ในกรณีศรีลังกากลับพบปัญหาเรื้อรังทั้งเรื่องการเมืองครอบครัว (dynastic politics) การทุจริตเชิงนโยบาย (policy corruption) และการใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งท้ายที่สุดได้นำพาประเทศเข้าสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ หรืออาจจะเรียกได้ว่าประเทศเข้าสู่ภาวะล้มละลาย เพราะไม่มีเงินจะใช้หนี้คืน
ในบรรดาตระกูลการเมืองที่สร้างรอยแผลให้แก่ศรีลังกา คงไม่มีตระกูลใดโดดเด่นเกินกว่าตระกูลราชปักษา ตั้งแต่ มหินทรา ราชปักษาที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสองสมัย ก่อนจะผลักดันน้องชาย โกตาบายา ราชปักษา ขึ้นเป็นผู้นำประเทศต่อ และอีกหลายตำแหน่งสำคัญทั้งในคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานความมั่นคงที่ถูกแบ่งปันให้เครือญาติ
ภายใต้โครงสร้างแบบนี้การจัดสรรงบประมาณของรัฐไม่ได้ตอบสนองต่อผลประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง แต่กลับถูกนำไปผูกติดกับโครงการขนาดใหญ่ที่อิงประโยชน์กับคนเพียงไม่กี่กลุ่ม เช่น โครงการสนามบินร้าง ท่าเรือไร้เรือ หรืออาคารสัญลักษณ์หรูหราที่ไม่ได้สร้างรายได้ จนทำให้หนี้สาธารณะของศรีลังกาพุ่งอย่างรวดเร็ว
การทุจริตของตระกูลการเมืองไม่ได้จำกัดเพียงการยักยอกเงินเข้ากระเป๋าเท่านั้น แต่มันยังบิดเบือนลำดับความสำคัญของนโยบายสาธารณะ ทั้งก่อหนี้มหาศาลและใช้กลไกรัฐไปปราบปรามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเศรษฐกิจถดถอยเพราะหนี้สินล้นประเทศ ประชาชนก็ถูกผลักเข้าสู่ความยากจน ข้าวของแพง ไฟฟ้าดับ น้ำมันขาดแคลน จนต้องรวมตัวกันออกมาโค่นล้มรัฐบาลราชปักษาในที่สุด
หากมองย้อนกลับมายังประเทศไทย จะเห็นว่าปรากฏการณ์ “ตระกูลการเมือง” หรือการสืบทอดอำนาจในหมู่ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แม้โครงสร้างของรัฐไทยอาจมีมาตรการตรวจสอบถ่วงดุลมากกว่าศรีลังกา แต่การตั้งพรรคพวกกันเองควบคุมทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ หรือการใช้เครือญาติในการดำรงตำแหน่งสำคัญของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจก็เป็นสิ่งที่สังคมไทยควรตระหนักว่ามันอาจนำไปสู่วงจรอุบาทว์ที่คล้ายกันได้
บทเรียนจากศรีลังกาจึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจเราคนไทยให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างระบบการเมืองที่เปิดกว้าง โปร่งใส และต้านทุจริตอย่างจริงจัง เราจำเป็นต้องยืนยันหลักนิติรัฐ (rule of law) ที่ไม่อ่อนข้อให้กับอำนาจการเมือง ไม่ยอมให้การบังคับใช้กฎหมายถูกบิดเบือนเพื่อปกป้องคนในเครือข่ายผู้มีอำนาจ
อีกทั้งต้องลงทุนกับกลไกตรวจสอบ ทั้งในรูปขององค์กรอิสระ สื่อมวลชน และประชาสังคมที่เข้มแข็ง ตลอดจนยกระดับระบบจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายงบประมาณ และการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะให้โปร่งใสมากที่สุด
เหนือสิ่งอื่นใด บทเรียนจากศรีลังกาคือเสียงของประชาชนต้องไม่ถูกปิดปากหรือถูกเบี่ยงเบน เพราะการมี “voice and accountability” ที่แท้จริงแม้ในระยะสั้นอาจสร้างแรงกระเพื่อมให้รัฐบาลต้องปรับตัว และในระยะยาวจะเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดต่อการป้องกันวิกฤตของรัฐ ดังที่เกิดขึ้นในศรีลังกา
เราคงไม่อาจบอกได้ว่าการเมืองแบบตระกูลเดียวจะนำประเทศสู่หายนะเหมือนกันทุกที่ ทว่าเมื่อดูตัวอย่างจากศรีลังกา มันคือคำเตือนที่ดังพอจะปลุกให้เราคนไทยตระหนักว่าความเฉื่อยชาต่อการทุจริตทางการเมืองในวันนี้ อาจกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขในวันข้างหน้า

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย
จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน
เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)
