คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : เมื่อผู้หญิงเผชิญหน้ากับคอร์รัปชัน : ความไม่เท่าเทียมทางเพศในมิติที่สังคมไทยมองข้าม

ในประเทศไทย เมื่อพูดถึง “คอร์รัปชัน” หลายคนมักนึกถึงการคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การให้และรับสินบน หรือการทุจริตในแวดวงราชการ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมั่นในระบบรัฐมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกมิติหนึ่งของคอร์รัปชันที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก นั่นก็คือปัญหาคอร์รัปชันและเพศสภาพ โดยเฉพาะในกรณีของผู้หญิง ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับความอยุติธรรมในรูปแบบที่ซับซ้อนและยากจะมองเห็นผ่านตัวเลขหรือดัชนีทั่วไป โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้การพูดถึงคอร์รัปชันในไทยจะมีความตื่นตัวมากขึ้น แต่การขับเคลื่อนในมิติทางเพศยังคงถือว่าอยู่ในวงจำกัด

จากรายงาน The Impacts of Corruption on Women and Their Role in Preventing Corruption โดย Matthew Jenkins (2024) จาก Transparency International เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องกลางๆ ที่ส่งผลเท่าเทียมต่อทุกคน หากแต่ผู้หญิงต้องแบกรับผลกระทบมากกว่าไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสินบนเพื่อเข้าถึงบริการสาธารณะ การถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศ (เช่น sextortion) หรือการถูกกันออกจากกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในสังคมที่มีระบบอุปถัมภ์แบบชายเป็นใหญ่

ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ : เมื่อคอร์รัปชันเจาะลึกถึงชีวิตประจำวันของผู้หญิง

ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงมีแนวโน้มที่ต้องพึ่งพาการเข้าถึงบริการสาธารณะเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองมากกว่าผู้ชาย เพราะนอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายในยามเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ผู้หญิงยังต้องการการดูแลด้านสุขภาพเฉพาะทางด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ บริการฝากครรภ์ การคลอดบุตร ฯลฯ ทำให้การเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขกลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิง

ดังนั้น การเข้าถึงบริการสาธารณะจึงเป็นเสาหลักที่ผู้หญิงจำนวนมากต้องพึ่งพา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข แต่การคอร์รัปชันกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการได้รับบริการสุขภาพ เนื่องจากผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะต้องจ่าย “ใต้โต๊ะ” เพื่อเข้าถึงบริการสาธารณะมากกว่าผู้ชาย โดยเจ้าหน้าที่อาจเรียกรับสินบนหรือขอแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อื่นๆ ซึ่งกระทบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้หญิงอย่างมาก

ซ้ำร้าย! ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจระหว่างเพศยิ่งทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบในสถานการณ์เช่นนี้ อ้างอิงตามรายงานของธนาคารโลก ที่ระบุว่าผู้หญิงมักมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสินทรัพย์อื่นๆ ต่ำกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้หญิงมีโอกาสน้อยกว่าในการเข้าถึงทรัพย์สิน สินเชื่อ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และเนื่องด้วยผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีศักยภาพทางทรัพย์สินน้อยกว่าผู้ชายนี่เอง จึงทำให้การจ่ายสินบนเป็นตัวเงินนับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับสตรีโดยถ้วนหน้าทั้งที่โดยหลักการแล้ว บริการสาธารณะเหล่านี้ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิง ควรได้รับอย่างเท่าเทียมโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ

Sextortion : เมื่อร่างกายกลายเป็นเครื่องต่อรอง

ปรากฏการณ์ Sextortion หรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางเพศเพื่อเข้าถึงสิทธิหรือบริการที่ควรได้รับโดยชอบธรรม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะในบริบทที่เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจเบ็ดเสร็จและไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศจากเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่บางรายบังคับให้ “มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง” เพื่อแลกกับการอนุมัติเอกสารหรือเร่งรัดขั้นตอนทางราชการ และสิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ดำรงอยู่ภายใต้ความเงียบงัน นั่นก็คือ ความละอายความกลัวการถูกตราหน้า และการขาดระบบรายงานที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง

เมื่อผู้หญิงถูกกันออกจากกระบวนการยุติธรรม

นอกจากนี้ ในสังคมที่ระบบยุติธรรมยังมีปัญหาคอร์รัปชัน การเข้าถึงความยุติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่มักต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ที่เรียกรับผลประโยชน์ใต้โต๊ะเพื่อเร่งรัดคดี ระบบตำรวจและศาลที่ยังมีอคติทางเพศ และในบางกรณีก็มีการเรียกรับสินบนเพื่อ “จบเรื่องเงียบๆ” แทนการส่งฟ้องผู้กระทำผิด

อีกทั้ง เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากมีทรัพยากรทางการเงินจำกัดดังที่กล่าวไปในตอนต้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการจ้างทนายหรือเดินเรื่องทางกฎหมาย ทำให้ผู้หญิงต้องหันไปพึ่งกระบวนการยุติธรรมแบบไม่เป็นทางการ เช่น การไกล่เกลี่ยโดยผู้นำชุมชน ที่แม้จะเข้าถึงง่ายแต่ก็ไม่สามารถรับประกันความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

จากเหยื่อสู่พลังต้านคอร์รัปชัน : บทบาทของผู้หญิงที่ต้องได้รับการสนับสนุน

แม้ผู้หญิงจะเผชิญกับต้นทุนจากคอร์รัปชันมากกว่าผู้ชาย แต่รายงานของ Jenkins (2024) ยังชี้ให้เห็นว่า เมื่อผู้หญิงมีส่วนร่วมในระบบการเมืองหรือการตัดสินใจ พวกเธอมักเป็น
พลังสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชัน!

เช่นเดียวกันกับงานวิจัยของ Dollar et al. (2001) และ Swamy et al. (2001) ที่พบว่า ประเทศที่มีสัดส่วนผู้หญิงในรัฐสภาสูงกว่ามักมีระดับคอร์รัปชันต่ำกว่า และผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติมักส่งเสริมความโปร่งใสและการให้บริการสาธารณะที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะความหลากหลายทางความคิดในกระบวนการตัดสินใจ และเนื่องจากผู้หญิงมีแนวคิดแตกต่างจากชาย ซึ่งช่วยให้เกิดมุมมองที่หลากหลายและตรวจสอบถ่วงดุลได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในบริบทของประเทศไทย การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงยังค่อนข้างต่ำ จากการเลือกตั้งปี 2566 มีผู้หญิงเพียงประมาณร้อยละ 19 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด และผู้หญิงในฝ่ายบริหารระดับท้องถิ่นยังเผชิญกับอุปสรรคจากเครือข่ายอุปถัมภ์แบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งมีอิทธิพลสูงในระบบราชการไทย

หากสังคมไทยต้องการลดปัญหาคอร์รัปชันอย่างยั่งยืน การส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในการตัดสินใจทางการเมือง การปฏิรูประบบราชการให้ปลอดจากอคติทางเพศ และการออกแบบกลไกการรายงานที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะคอร์รัปชันไม่ใช่เพียงเรื่องของการเงิน หรือความโปร่งใสทางนโยบาย แต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีมิติทางเพศแฝงอยู่ลึกซึ้ง เราจึงจำเป็นต้องหันมาสนใจผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมต่อผู้หญิง และสนับสนุนบทบาทของพวกเธอในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

การพูดถึงผู้หญิงในฐานะเหยื่อของคอร์รัปชันอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่เราต้องไปให้ถึง คือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกมใหม่ที่ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ สังคม หรือเพศสภาพ

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ธนากาญจน์ กันทอง

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย

จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

You might also like...

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การสร้างชุมชนที่โปร่งใสต้องเริ่มต้นที่ตรงไหน จึงจะสำเร็จ ?

“พลังของชุมชน” สามารถเป็นด่านแรกในการป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อชุมชนมีระบบภายในที่เข้มแข็งและประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ทำไมครูและสื่อมวลชนถึงมีความสำคัญในการป้องกันการคอร์รัปชัน

คุณอาจจะคุ้นเคยกับกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่มุ่งเป้าไปที่การลงโทษนักการเมืองหรือข้าราชการที่ทุจริต แต่เคยได้ยินไหมว่ามีกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่ครอบคลุมไปถึง “ครู” และ “สื่อมวลชน” ด้วย ?

KRAC Update เล่าข่าวต้านคอร์รัปชัน I แอฟริกาใต้ต่อสู้คอร์รัปชัน กู้คืนทรัพย์กลับประเทศได้อย่างไร ?

เพราะการคอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่การตรวจสอบหรือการนำคนผิดมาลงโทษเท่านั้น แอฟริกาใต้จึงเดินหน้าเพื่อต่อสู้ กู้คืนทรัพย์หลายหมื่นล้านจากการคอร์รัปชัน