หันมองสถาบันและการคอร์รัปชันที่เป็นอยู่

แนวคิดเกี่ยวกับ “สถาบัน” เป็นแนวคิดที่สามารถใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์คอร์รัปชันที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับมิติทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งการศึกษาถึงสถาบันทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จะช่วยทำให้สามารถเข้าใจถึงโครงสร้างทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ในบริบทที่แตกต่างกันออกไป และจะเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลในการต่อต้านคอร์รัปชัน

แนวคิดสถาบัน (Institutions) เป็นแนวคิดที่สามารถใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์คอร์รัปชันที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับมิติในเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดย North (1990) ได้ให้คำนิยามความหมายของสถาบันว่าหมายถึง กฎระเบียบหรือกติกาในสังคม (Rules of game) ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ หรือค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตามช่วงเวลา เพื่อกำกับและควบคุมแนวทางการปฏิบัติ หรือพฤติกรรม มโนทัศน์ และวิธีคิดของมนุษย์ในสังคมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองว่าสิ่งไหนทำได้ และสิ่งไหนทำไม่ได้ ตลอดจนหล่อหลอมแนวความคิด และพฤติกรรมในทุกด้านของการดำเนินชีวิตของผู้คน ซึ่งสถาบันเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเกิดการรวมตัวกันและดำเนินต่อไปได้ รวมถึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากกระบวนการในสังคมต่าง ๆ เช่น กระบวนการทางการเมือง เป็นต้น

สำหรับการอธิบายถึงประเภทของสถาบัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ สถาบันที่เป็นทางการ (Formal Institution) คือ กฎระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อตกลงทางกฎหมาย หรือสัญญาระหว่างบุคคล ซึ่งสถาบันทางการมีการบังคับใช้จากบุคคลหรือองค์กร ในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน แล สถาบันที่ไม่เป็นทางการ (Informal Institution) คือ กฎระเบียบของสังคมที่ไม่มีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น บรรทัดฐานสังคม ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือจารีตประเพณี ซึ่งมักปลูกฝังผ่านวัฒนธรรมและอุดมการณ์ในการดำเนินชีวิต ซึ่งหากผู้ที่มีพฤติกรรมที่ขัดกับสถาบันที่ไม่เป็นทางการจะได้รับการแทรกแซงหรือลงโทษจากสังคม โดยรูปแบบความสัมพันธ์ของสถาบันทั้งสองประเภท สามารถปรากฏได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละสังคม โดยมีทั้งที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ขัดแย้งซึ่งกันและกัน หรือในบางสังคมมีลักษณะของการทับซ้อนกัน (Jütting, Drechsler, Bartsch & Soysa, 2007)

นอกจากนี้ ในงานของ Leftwich & Sen (2010) ได้ชี้ให้เห็นถึงสถาบันในด้านต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ หนึ่ง ด้านเศรษฐกิจ (Economic Institutions) ซึ่งมีสถาบันที่ทำงานในรูปแบบที่เป็นทางการ คือ การส่งเสริมการให้สิทธิในทรัพย์สิน และปกป้องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (Property Right) ของประชาชน รวมถึงอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนและการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจของสังคม โดยจะทำงานร่วมกับสถาบันที่ทำงานในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ ที่จะส่งเสริมสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของคนบางกลุ่มในสังคมที่มีแนวทางการปฏิบัติตนทางด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างการกำหนดโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในสังคม สอง ด้านการเมือง (Political Institutions) ซึ่งมีสถาบันที่ทำงานในรูปแบบที่เป็นทางการ คือ การกำหนดและควบคุมการใช้ และการกระจายอำนาจตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นโยบาย ซึ่งมีหน้าที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของคนในสังคม โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเมืองแบบไม่เป็นทางการในลักษณะที่ส่งเสริมกัน เช่น โครงสร้างทางสังคมที่มีลักษณะความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ เป็นต้น และ สาม ด้านสังคม (Social Institutions) ซึ่งมักเป็นสถาบันแบบไม่เป็นทางการในรูปแบบกฎระเบียบทางสังคมที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น บรรทัดฐานสังคม ธรรมเนียมปฏิบัติ วัฒนธรรม ประเพณี ที่มีบทบาทต่อการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ความสัมพันธ์ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและกลุ่มทางสังคม

จะเห็นได้ว่า โครงสร้างทางสังคมที่กำหนดโดยสถาบันที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ในบริบทที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ในบางสังคมที่ยึดบรรทัดฐานสังคมและจารีตประเพณีเป็นสำคัญ จะทำให้สถาบันแบบไม่เป็นทางการมีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตของประชาชนมากกว่าสถาบันที่เป็นทางการ ในทางกลับกัน บางสังคมที่ยึดถือหลักกฎหมายเป็นหลักในการจัดระเบียบทางสังคม ก็จะทำให้สถาบันแบบเป็นทางการมีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตของประชาชนมากกว่าสถาบันที่ไม่เป็นทางการ

ดังนั้น การทำความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชัน จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาทั้งในมิติของสถาบันที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อจะนำไปสู่ความสำเร็จในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่ครอบคลุมประเด็นในเชิงวัฒนธรรมของผู้คน รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบที่สังคมยึดถือ และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนพื้นฐานของการสร้างนโยบายที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลในการต่อต้านคอร์รัปชัน

เอกสารอ้างอิง
รูปแบบ APA

ต่อภัสสร์ ยมนาค และสุภัจจา อังค์สุวรรณ. (2566). (ต่อต้าน) คอร์รัปชัน 101 ((Anti) Corruption 101). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
มีนาคม 2567
ผู้แต่ง
  • ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
หัวข้อ
Related Content

แล้วอะไรคือคอร์รัปชัน

การศึกษานิยามของคำว่า “คอร์รัปชัน” มีต้นกำเนิดและความหมายที่ถูกอธิบายผ่านองค์ความรู้ในการมองเรื่องของการคอร์รัปชันที่แตกต่างหลายหลาย แต่จุดร่วมที่สำคัญประการหนึ่งของการให้คำนิยามการคอร์รัปชัน คือ…

หันมองสถาบันและการคอร์รัปชันที่เป็นอยู่

แนวคิดเกี่ยวกับ “สถาบัน” เป็นแนวคิดที่สามารถใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์คอร์รัปชันที่มีความซับซ้อน
และเกี่ยวข้องกับมิติทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม …

รู้จัก CPI เพื่อเข้าใจสถานการณ์คอร์รัปชัน

ในปัจจุบัน ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน หรือ Corruption Perceptions Index (CPI) นับว่าเป็นดัชนีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากรัฐบาล ภาควิชาการ และนักลงทุนทั่วโลก …

You might also like...

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | เจาะกลโกงลึกเครือข่ายลับ ผู้อยู่เบื้องหลังการทุจริตงบประมาณโรงเรียน

แม้เราจะพูดถึงการปฏิรูปการศึกษามาหลายปี แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่กลับคือเครือข่ายอิทธิพลในระบบการศึกษาที่ทุจริตอย่างเป็นระบบ โดยงานวิจัยนี้ได้เปิดเผยกลไกผลประโยชน์ระหว่างข้าราชการ นักการเมือง และธุรกิจ พร้อมเสนอแนวทางสร้างความโปร่งใสเพื่อยุติวงจรคอร์รัปชันในวงการศึกษาไทย

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | มาตรการลดโกงที่เข้มข้น อาจ “เพิ่มภาระ” ในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้

การสร้างมาตรการป้องกันและตรวจสอบที่เข้มข้นของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกฎระเบียบ หรือการบังคับรายงานข้อมูลต่าง ๆ อาจไม่ใช่คำตอบของการแก้คอร์รัปชัน เพราะกฎระเบียบที่ซับซ้อนอาจกลายเป็นภาระและซ้ำเติมปัญหาเดิม ถึงเวลาคิดใหม่ หาทางออกที่โปร่งใสและยั่งยืน

KRAC Insights I ข้อมูลเปิด ทางออกจากเขาวงกตแห่งการคอร์รัปชัน

” Open Data” กุญแจสำคัญแก้คอร์รัปชันไทย!รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผอ.ศูนย์ KRAC ร่วมบรรยายในงาน BOT Symposium 2025 แค่เปิดเผยข้อมูลโปร่งใส ก็ช่วยประหยัดงบและปิดช่องโกงได้จริง