
จะทำอย่างไรหากเราต้องอยู่ในสังคมที่การคอร์รัปชันเชื่อมโยงใกล้ชิดจนเหมือนเป็นเรื่องวัฒนธรรมทั่วไป ที่สำคัญแตะไปตรงไหนก็อาจมีคนในครอบครัวหรือคนรู้จักพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ ทำให้บางครั้งการลุกขึ้นมาต่อต้านการคอร์รัปชันกลายเป็นเรื่องที่น่าท้อแท้ใจ จนหลายคนอาจยอมจำนนกับมัน
“ปราบคอร์รัปชัน สู้ไปก็สิ้นพวก ไม่สู้ก็สิ้นชาติ”
รื้อถอนมายาคติว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้
นอกจากการบอกเล่าที่ไปที่มาของหัวข้อแล้ว คุณบรรยงยังชวนผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายทุกท่านพูดคุยถึงมายาคติเรื่องคอร์รัปชันของประเทศที่หลายคนยังคิดว่า การพัฒนาประเทศนั้นขาดการคอร์รัปชันไม่ได้ นักธุรกิจที่จ่ายสินบนเป็นคนชั่วร้าย ข้าราชการที่รับสินบนทั้งหลายทำเพื่อความอยู่รอด คอร์รัปชันมีได้แต่ต้องไม่มากจนเกินไป และมายาคติที่น่ากังวลที่สุด คือคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ซึ่งคุณบรรยงมองว่าทัศนคติเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม คุณบรรยงได้แสดงความเห็นอย่างมีความหวังว่า ถึงแม้คนไทยบางส่วนจะยังมีทัศนคติแบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับในอดีต สังคมไทยในวันนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะมุมมองของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีส่วนร่วมและให้ความสนใจกับสถานการณ์ปัญหาคอร์รัปชันมากขึ้น
โดยเฉพาะทัศนคติที่เริ่มปฏิเสธการคอร์รัปชัน ซึ่งจากเดิมที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเคยระบุว่าตนเองยอมรับให้มีคอร์รัปชันได้หากมีการพัฒนาประเทศ แต่วันนี้คนรุ่นใหม่จำนวนมากกว่า 2 ใน 3 ต่างระบุว่ารับไม่ได้ที่จะยอมให้มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นในสังคม และนี่คือความหวังของสังคมในอนาคต
กลยุทธ์ของการคอร์รัปชันในประเทศไทย
การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันต้องดำเนินการไปด้วยกันกับการพัฒนาประชาธิปไตย
สุดท้ายนี้ คุณบรรยงยังได้ฝากข้อคิดที่สำคัญว่า “การต่อต้านคอร์รัปชันต้องห้ามยอมแพ้” และต้องเลิกพูดคำว่า “สู้ไปก็เท่านั้น”
- Corruption in Public Sector, Judiciary & Law Enforcement, Anti-Corruption
9 เมษายน 2568