ศึกษาบทบาทขององค์กรภาคประชาชน (CSO) ในการต่อต้านการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยศึกษาปัจจัยที่มีส่วนกำหนดความสำเร็จของ CSO ในการต่อต้านการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
คณะผู้วิจัย ได้พัฒนาแบบจำลองความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมในการต่อต้านการทุจริต (Model of Anti corruption by CSO) ซึ่งอธิบายปัจจัยที่ทำให้องค์กรภาคประชาสังคมเกิดความเข้มแข็งในการดำเนินงาน โดยคณะผู้วิจัยได้คัดเลือกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มแข็ง จำนวน 14 ปัจจัย และนำไปทดสอบแบบจำลองโดยใช้สมการถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regressions) และทดสอบจากแบบจำลองโทบิต (Tobit Model) ซึ่งผลการทดสอบแบบจำลอง พบว่าปัจจัยที่นำมาทดสอบมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคมในการต่อต้านการทุจริต ประกอบด้วย
- ความสามารถของสื่อในการรายงานข่าวทุจริต
- กระบวนการควบคุมและติดตาม เพื่อสร้างความโปร่งใสในกระบวนการงบประมาณแผ่นดิน
- สถานการณ์การทุจริตภายในประเทศ
- ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมายในการต่อต้านการทุจริต
- การสร้างระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต
คณะผู้วิจัย ได้วิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมที่สนับสนุนให้เกิดการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม (CSO) ในการต่อต้านการทุจริตจากกรณีศึกษาของ 4 ภูมิภาคจำนวน 16 ประเทศ พบว่าปัจจัยที่สนับสนุนความเข้มเเข็งในการดำเนินงาน ได้เเก่ (1) ปัจจัยด้านรูปแบบการรวมกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม (2) ปัจจัยด้านกฎหมาย และระเบียบวิธีเกี่ยวข้อง (3) ปัจจัยเชิงสถาบัน และ (4) ปัจจัยด้านการจัดหาเงินทุน
คณะผู้วิจัย ได้วิเคราะห์บทบาทของภาคประชาสังคม (CSO) ในการต่อต้านการทุจริตในประเทศไทย จำนวน 2 องค์กร โดยมีข้อค้นพบ สรุปได้ดังนี้
- องค์กรความโปร่งใสประเทศไทย มีลักษณะของความเป็นองค์กรภาคประชาสังคมประเภทชุมชนนิยม ที่เน้นกิจกรรมให้ความรู้ด้านต่อต้านการทุจริต และสร้างความโปร่งใส รวมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกกับเยาวชน แต่ไม่ได้แสดงบทบาทขับเคลื่อนการต่อต้านการทุจริตในมิติของการติดตามตรวจสอบ หรือเสนอชุดนโยบายมาตรการ หรือกฎหมายใด ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการต่อต้านการทุจริต
- องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เป็นองค์กรที่แสดงบทบาทต่อต้านการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างครบทุกระดับ ได้แก่ การสร้างจิตสำนึกต่อต้านการทุจริต การติดตามตรวจสอบโครงการสำคัญของรัฐ และการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เเนวทางการยกระดับบทบาทของภาคประชาสังคมไทย (CSO) ในกระบวนการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบว่ายังขาดปัจจัยที่สำคัญ ได้เเก่ ปัจจัยเชิงสถาบัน และปัจจัยด้านการจัดหาเงินทุน ดังนั้น หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ต่อต้านการทุจริต ควรทบทวนกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน โดยเพิ่มกิจกรรมการสังเกตการณ์ และติดตามตรวจสอบโครงการสำคัญ ที่หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ ยังพบว่าสื่อมวลชนที่จัดทำข่าวเชิงสืบสวน (Investigative Journalism) เป็นภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ภาคประชาสังคมไทย (CSO) ประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างสำนักข่าวอิศรา และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่เป็นพันธมิตรร่วมกันในการต่อต้านการทุจริต ดังนั้น หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ต่อต้านการทุจริตควรสนับสนุนและคุ้มครองพันธมิตรเหล่านี้ให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
- คณะผู้วิจัย เสนอให้ภาคประชาสังคม (CSO) ที่ได้รับเงินบริจาค จะต้องแสดงรายงานสถานะการเงินไว้บนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นการแสดงความโปร่งใสของภาคประชาสังคม (CSO) และภาครัฐอาจส่งเสริมให้ประชาชน มีส่วนช่วยสนับสนุนเงินทุนป้องกันการทุจริตผ่านนโยบายภาษี เช่น ให้ผู้มีเงินได้ที่ยื่นแบบเสียภาษียินดีบริจาคเงินได้จากการคืนภาษีส่วนหนึ่งให้กับภาคประชาสังคม (CSO) ที่ทำหน้าที่ต่อต้านการทุจริต
ปัณณ์ อนันอภิบุตร และสุทธิ สุนทรานุรักษ์. (2558). การพัฒนาบทบาทภาคประชาสังคมเพื่อต่อต้านการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ. สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.
- ปัณณ์ อนันอภิบุตร
- สุทธิ สุนทรานุรักษ์
หัวข้อ
โครงการศึกษาฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อออกแบบยุทธศาสตร์ในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์จากกรมบัญชีกลาง จำนวน 40,000 โครงการ และนำมาจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โครงการวิจัยและประสานงานเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน
เพื่อออกแบบงานวิจัยสำหรับแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงพัฒนาระบบและเครื่องมือใหม่ในการป้องกันและลดคอร์รัปชันในระดับพื้นที่
โครงการวิจัยเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน ระยะที่ 2
จัดทำข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยเน้นแนวทางการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชันจากมุมมองของประชาชน ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (PAR) และกระบวนการ Design Thinking เต็มรูปแบบ
โครงการวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านธรรมาภิบาล (Phase 2)
การศึกษาเพื่อสร้างตัวชี้วัดสำหรับการประเมินและติดตามการนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในการบริหารจัดการขององค์กรในประเทศไทย พบว่า มีความเหมาะสมในการนำไปใช้ในระดับมาก และยังสามารถปรับปรุงดัชนีชี้วัดบางตัวเพื่อให้สอดคล้องการทำงานของแต่ละหน่วยงานได้