คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : เมื่อจีนใช้ AI ช่วยสะสางการคอร์รัปชันอย่างได้ผล ไทยจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง

ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กลายเป็นคำคุ้นหูที่ท่านผู้อ่านคงได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง ทุกวันนี้ AI ถูกใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษา สาธารณสุข หรือการท่องเที่ยว AI กลายเป็นพัฒนาการสำคัญที่ส่งเสริมให้การทำงานหลายอย่างสะดวกขึ้น การแข่งขันทางเทคโนโลยี AI กำลังเข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะ เมื่อจีนเปิดตัว DeepSeek สำเร็จ ซึ่งกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Open AI

ในห้วงหลายปีที่ผ่านมาจีนมีความจริงจังกับการพัฒนาระบบ AI อย่างมาก เพื่อตอบโจทย์การบริการ ประชาชน และช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เนื่องจากจีนกำลังเข้าสู่ยุคที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว การนำ AI เข้ามาช่วยจึงเป็นทางเลือกและทางรอดของรัฐบาลจีน

ช่วงที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศจีน ได้มีโอกาสสัมผัสและต้องมีความเกี่ยวข้องกับระบบ AI ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและเสียง การเข้าสู่กระบวนการช่วยให้ AI ได้เรียนรู้สำนวนภาษาไทยตลอดจนการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการอนุญาตการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่มีการทำธุรกรรมในประเทศจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการต่อต้านคอร์รัปชันและฟอกเงิน

นับตั้งแต่ปี 2012 จีนมีความจริงจังอย่างมากในการผลักดันแคมเปญแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันในระดับฐานรากโดยเน้นป้องกันมากกว่าปราบปรามตามภาษิตจีนโบราณยุคราชวงศ์จินที่กล่าวว่า “ป้องกันปัญหาเล็กน้อยก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่านโยบายนี้จะถูกวิจารณ์จากชาติตะวันตกว่าเป็นเพียงการกวาดล้างขั้วตรงข้ามในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อเปิดทางให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นสู่อำนาจ แต่ข้อมูลทางสถิติพบว่าแคมเปญนี้ไม่ได้เล่นงานผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น แต่ยังจัดการข้าราชการระดับเล็ก ไปจนถึงระดับใหญ่ได้เป็นจำนวนมากด้วย

ข้อมูลของศาสตราจารย์หยู เหวินซวน จากมหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน สะท้อนว่าเฉพาะปี 2024 เพียงปีเดียว หน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแลวินัยของจีนได้สอบสวนกรณีการทุจริตและประพฤติมิชอบในข้าราชการระดับต่างๆ กว่า 596,000 กรณี และลงโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องไปกว่า 462,000 คน

โดยศาสตราจารย์หยูชี้ว่าการต่อต้านคอร์รัปชันไม่ว่าประเทศใดย่อมเผชิญความท้าทาย แต่สำหรับในกรณีของจีนที่มีการตรวจจับการทุจริตได้รวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลสำคัญมาจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปฏิบัติการ โดยเฉพาะ AI และ Big Data เพราะนอกจากจีนจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการแบ่งเบางานของเจ้าหน้าที่แล้ว ยังใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการส่งเสริมความรู้ประชาชนให้เท่าทันกับการทุจริตรูปแบบใหม่ๆ ด้วย

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่รัฐบาลจีนได้ใช้ โดยอาศัยความร่วมมือกับเครือข่ายมือถือ ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ตอนที่อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน คือ รัฐบาลจีนได้ประสานข้อมูลเบอร์โทรศัพท์น่าสงสัยว่าจะเป็นสแกมเมอร์ และคอยอัปเดตข้อมูลกับค่ายมือถือเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เมื่อเบอร์ของสแกมเมอร์โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของเรา จอมือถือจะแสดงทันทีว่าเบอร์โทรศัพท์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการหลอกลวง ซึ่งช่วยป้องกันคดีอาชญากรรมจำนวนมหาศาลได้ในจีน โดยการทำงานเช่นนี้เป็นผลมาจากการเชื่อมข้อมูล Big Data เข้าหากัน โดยให้ AI ประมวลผล

จีนยังใช้งาน AI ในลักษณะใกล้เคียงกันในการศึกษาการไหลเข้า-ออกเงินของบัญชีต่างๆ เพื่อตรวจจับความเสี่ยงในการฟอกเงิน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ของระบบธนาคาร และ Fintech เข้าด้วยกัน โดยดึง AI ของหน่วยงานตรวจสอบการฟอกเงินและต่อต้านการรับสินบนเข้ามาประมวลผล เมื่อระบบพบว่าลักษณะการทำธุรกรรมของบางบัญชีมีความสุ่มเสี่ยงว่าเข้าข่ายฟอกเงินหรือรับสินบน บัญชีจะถูกระงับในทันที ซึ่งหากเจ้าของบัญชีมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่บัญชีม้า หรือเกี่ยวข้องกับการรับสินบนก็สามารถไปขอแก้ไขได้ในภายหลัง น่าสนใจว่าระบบนี้ช่วยให้จีนสามารถจับกุมกลุ่มอาชญากรรมที่ทำงานผิดกฎหมายได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการรับสินบนของข้าราชการด้วย

นี่เป็นเพียงสองตัวอย่างที่อยากยกขึ้นมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่าวันนี้เทคโนโลยีเดินหน้าไปไกล และช่วยงานด้านการตรวจสอบการทุจริตได้อย่างมาก แต่สิ่งสำคัญที่เราจะเห็นก็คือการจะพัฒนา AI ให้มีศักยภาพสูงได้ขนาดนี้ สิ่งสำคัญก็คือข้อมูล เพราะความฉลาดของ AI มาจากการเรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจากปริมาณข้อมูลที่มันมี หรือถูกป้อนเข้าไป ซึ่งกว่าที่ AI ของจีนจะมาได้ไกลขนาดนี้ ก็มาจากการเก็บข้อมูลอย่างแข็งขันและจริงจังของเจ้าหน้าที่ตลอดหลายทศวรรษนับตั้งแต่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการผลักดันเทคโนโลยี AI ในฐานะอุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ

วันนี้ เทคโนโลยีต่างๆ เช่น บิ๊กดาต้า (Big Data) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาแนวทางการต่อต้านคอร์รัปชันด้วย ในขณะที่บิ๊กดาต้าช่วยให้สามารถระบุความเสี่ยงการทุจริตได้อย่างแม่นยำ ทำให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัญญาประดิษฐ์ช่วยเสริมสร้างการตรวจสอบในระดับฐานรากให้มีความโปร่งใสและมีส่วนร่วมมากขึ้น

เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกบูรณาการเข้าสู่ระบบเดียวกัน จะช่วยให้สามารถตรวจจับการทุจริตได้ตั้งแต่เนิ่นๆ กระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริต และส่งเสริมการศึกษาเพื่อต่อต้านการทุจริต การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความโปร่งใส แต่ยังเสริมสร้างความรับผิดชอบในทุกระดับของรัฐบาลอีกด้วย

แม้ว่า AI จะยังถูกกังขาว่ามีความแม่นยำมากน้อยเพียงใดในการตรวจจับข้อเท็จจริงในเชิงข้อมูล แต่ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าให้นำเอา AI มาใช้ในการตัดสิน แต่ให้นำมาใช้เป็นตัวช่วย เพราะต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอยู่ ไม่เพียงพอต่อภาระการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันอยู่แล้ว การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยคัดกรองเบื้องต้น จะผ่อนแรงการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่ภาครัฐเป็นอย่างมาก

และที่สำคัญกว่านั้นคือ AI จะเข้ามาช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการหลอกลวงประชาชน และการทุจริตในโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ อันจะช่วยให้ประเทศชาติไม่ต้องสูญเสียทรัพยากรไปกับกรณีการคอร์รัปชัน ซึ่งบางครั้งมีมูลค่าที่สูงมาก

อนาคตของการต่อต้านการคอร์รัปชันอยู่ที่การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างชาญฉลาด เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาต่อไป ศักยภาพในการปรับโฉมการบริหารจัดการ ปรับปรุงการตรวจสอบ และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยการยอมรับนวัตกรรมเหล่านี้ ประเทศไทยจะมีโอกาสสร้างแนวทางการบริหารจัดการงานที่มีความโปร่งใส รับผิดรับชอบ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อยากแก้ปัญหาปากท้องก่อน แต่ถ้าไม่ปฏิรูปตำรวจ ก็แก้ยาก !

ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มืดเทา อาจเป็นคำนิยามวงการตำรวจไทยในปัจจุบัน ? หากเราพูดถึงวงการตำรวจ หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงเรื่องที่ตำรวจดันไปเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมกับการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมูเถื่อน กำนันนก ทุนจีนสีเทา หรือข่าวอาชญากรรมต่าง ๆ แทนที่จะมองว่า ตำรวจคือผู้ที่รักษาความสงบให้บ้านเมือง และคุ้มครองประชาชนให้รู้สึกปลอดภัย

You might also like...

KRAC Insight | การเพิ่มขีดความสามารถภาครัฐ และลดคอร์รัปชัน ในฐานะ “นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม”

KRAC ชวนทุกท่านร่วมเจาะลึกนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกของภาครัฐ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก

KRAC Insight x C4 Centre | ความเสี่ยงต่อการเกิดคอร์รัปชันที่แฝงอยู่ในรูปแบบของการจัดซื้อจัดจ้างที่หลากหลาย

รู้หรือไม่? การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีหลายรูปแบบ และในแต่ละรูปแบบก็ซ่อน “ความเสี่ยงคอร์รัปชัน” ไว้ต่างกัน! KRAC ร่วมกับ C4 Centre มาเลเซีย เปิดเผยประเด็นร้อนจากเวทีประชุมระดับภูมิภาค SEA-ACN ว่าความเสี่ยงคอร์รัปชันซ่อนอยู่ใน PPP, PFI, G2G, Strategic Partnership รวมถึงการจัดซื้อในสถานการณ์ฉุกเฉินอีกด้วย

KRAC Extract | คอร์รัปชันหลังเเผ่นดินไหว: โอกาสแห่งการฟื้นตัวหรือประตูสู่การทุจริต

คอร์รัปชันหลังแผ่นดินไหว…เมื่อเงินฟื้นฟูหลั่งไหล แต่ความโปร่งใสกลับหายไป! กรณีศึกษาจากตุรกี ที่เผยให้เห็นว่าภัยพิบัติอาจเปิดช่องให้การทุจริตแทรกซึมได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดการหลังภัยพิบัติ บทเรียนนี้ไม่ใช่แค่ของต่างประเทศ แต่คือสัญญาณเตือนที่ไทยก็ต้องระวังเช่นกัน!