“นี้เธอ อ้วนเป็นหมูเชียว” อาจเป็นประโยคพูดเล่นกับเพื่อนที่คิดว่าใครหลายคนต้องเคยแซวหยอกล้อด้วยความสนุกสนานกันเป็นปกติโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าการกระทำที่เคยชินเช่นนี้ คือที่มาของการสร้างวัฒนธรรมการรังแกกันในสังคมไทยที่ฝังรากลึกด้วยคำว่า “ไม่ได้ตั้งใจ” แต่ผลกระทบทางความรู้สึกของผู้ที่ได้ฟังนั้นกลับรุนแรงและบาดลึกเกินใครจะคาดถึง ผู้เขียนเองก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนหนึ่งที่เคยบูลลี่ (bully) คนอื่นด้วยการใช้คำพูดล้อเล่น ล้อเลียนเพื่อนด้วยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรือเรื่องปมด้อยของเพื่อนเช่นกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่จำได้ดีคือ เราไม่ได้มีเจตนาตั้งใจทำร้ายจิตใจหรืออยากให้เพื่อนเสียใจ แต่ที่ทำไปเพราะรู้สึกสนุกและคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
การบูลลี่ (bully) เป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่สำหรับสังคมไทย ใครหลาย ๆ คนจึงยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากนัก จากการศึกษา “โครงการวิจัยการแกล้งกันของเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” โดย ธานี ชัยวัฒน์ และคณะ ในปี 2561 ได้อธิบายเกี่ยวกับการบูลลี่ไว้ว่า การแกล้งกันในสังคมไทยมักถูกมองว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนอย่างหนึ่งด้วยการหยอกล้อ หรือแซวเล่นกันตามประสามากกว่าเป็นการแสดงออกในเชิงเจตนาทำร้ายรังแกให้รู้สึกไม่ดี เช่น การเรียกเพื่อนสนิทด้วยชื่อพ่อแม่ หรือ การเรียกเพื่อนด้วยลักษณะรูปลักษณ์ หน้าตา เช่น “ไอ้ดำ” “ไอ้แว่น” เป็นต้น จากการศึกษายังพบว่านักเรียนส่วนมากกว่า 91% เคยถูกเพื่อนแกล้งถึงขั้นที่ทำให้ตนเองเสียใจ ไม่พอใจ หรือเสียความรู้สึก โดยการกลั่นแกล้งกันด้วยวาจาเป็นวิธีการแกล้งกันของเด็กนักเรียนที่พบมากที่สุด
ประเด็นที่น่าสนใจจากผลการศึกษาของงานวิจัยชิ้นนี้ แสดงให้เห็นว่าการแกล้งกันของเด็กนักเรียนไทยไม่ได้มีแค่ในชีวิตจริง แต่ยังมีความเชื่อมโยงไปถึงการแกล้งกันในโลกออนไลน์หรือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์(Cyberbullying) แตกต่างจากในต่างประเทศที่การแกล้งกันในโลกออนไลน์มักจะเกิดจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผู้เขียนเองได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กนักเรียนหลายคนถึงประสบการณ์ Cyberbullying ที่เคยเจอ เกือบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขามักจะโดนเพื่อนทั้งที่สนิทและไม่สนิทแกล้งในโลกออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียฮอตฮิตอย่าง Facebook Instagram Twitter และTiktok โดยส่วนใหญ่บอกว่าถูกแกล้งด้วยวิธีการพิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็น (comment) เชิงลบต่อโพสต์ต่างๆ เช่น เพื่อนห้องเดียวกันมาแสดงความคิดเห็นต่อรูปของตนใน Facebook หรือตอบกลับใน Instagram Story ว่า “แต่งกี่แอป” “ขาใหญ่จัง” “ดำ” เป็นต้น พวกเขาเล่าให้ฟังว่ารู้สึกไม่ดี ไม่มั่นใจ และกังวลทุกครั้งที่เห็นคอมเมนต์จากเพื่อนในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์ หน้าตา หรือผิวพรรณ (body shaming) ในบางรายเปิดเผยว่า เมื่อตนถูกแกล้งในโลกออนไลน์ด้วยลักษณะการถูกวิจารณ์เปรียบเทียบหรือ พูดล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกบ่อยครั้งส่งผลให้ตนรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่าตนไม่สวย กลายเป็นคนหวาดระแวง วิตกกังวลและไม่กล้าที่จะโพสต์รูปตัวเองในโลกออนไลน์อีก จุดที่น่าสนใจคือเด็กนักเรียนที่เคยมีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ มากกว่าครึ่งยอมรับว่าตนเองก็เคยเป็นผู้ที่บูลลี่คนอื่นในโลกออนไลน์โดยไม่ได้ตั้งใจและตั้งใจเช่นกัน
บทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งจากบทความ “มองปัญหาการ“บูลลี่” แบบไทยๆ กับ ธานี ชัยวัฒน์ โดย The 101 World ได้นำเสนอเอาไว้ว่าการบูลลี่ในสังคมไทยสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการใช้อำนาจที่ไม่ต้องรับผิดชอบ(unaccountability) ผู้ที่ถูกแกล้งไม่สามารถหาความชอบธรรม(fairness) จากการโดนกระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหรือทำให้เสียความรู้สึกได้ ในขณะเดียวกันการแกล้งกันแบบคนไทยที่มองว่า “ไม่ตั้งใจ ไม่ผิด” ปัดความรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่ตนก่อ ค่านิยมที่เกิดจากคนหมู่มากรังแกคนกลุ่มน้อย และการตั้งบรรทัดฐานอันหนึ่งอันเดียวเพื่อใช้เป็นไม้บรรทัดวัดผู้อื่นที่แตกต่างหลากหลายในสังคม เช่น แนวคิดเรื่องความงามที่มองว่าผู้หญิงผอมคือคนสวยผู้หญิงผิวคล้ำคือคนไม่สวย ค่านิยมเหล่านี้หล่อหลอมให้คนในสังคมไทยเติบโตมากับความเคยชินว่าการบูลลี่คนอื่นเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเห็นได้ชัดจากกรณีการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ เด็กนักเรียนที่ผู้เขียนได้ร่วมพูดคุยต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าการถูกแกล้งในโลกออนไลน์โดยคนที่ไม่รู้จัก สืบหาไม่ได้ว่าเป็นใครมาจากไหน และไม่รู้ที่มาที่ไปของสาเหตุในการแกล้ง เหมือนกับ “มีคนมาขี้ทิ้งไว้ แล้วก็ไป”เกิดเป็นความรู้สึกตกค้างในใจที่ส่งผลรุนแรงกว่าการโดนแกล้งในชีวิตจริง
การบูลลี่เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างชัดเจน ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเป็นเพียงการแกล้งกันด้วยคำพูด ด้วยร่างกาย หรือด้วยสื่อโซเชียลออนไลน์ ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกกระทำคือสิ่งที่เราในฐานะผู้กระทำไม่สามารถปฏิเสธและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ผู้เขียนจึงเห็นว่าการฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ความเป็นพลเมือง (civic education) และเข้าใจวิถีการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่างสามารถเริ่มต้นได้จากในรั้วโรงเรียนด้วยการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการปรับใช้หลักธรรมาภิบาล การหยิบเอาหลักความรับผิดชอบ (accountability) หลักความยุติธรรม (fairness) และหลักการมีส่วนร่วม (participation) มาใช้เป็นแนวทางให้เยาวชนได้ฝึกรู้จักการรับผิดชอบ เรียนรู้ที่จะยอมรับต่อผลของการกระทำทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ รู้จักเข้าใจและยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนในสังคม ไม่ยกเอาบรรทัดฐานส่วนตนใช้ตัดสินผู้อื่น ช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้ตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ซึ่งผลสุดท้ายพวกเขาจะสามารถตกผลึกได้ว่าการแก้ไขสถานการณ์การบูลลี่ในสังคมไทยสามารถเริ่มต้นได้จากตนเอง
ในฐานะของคณะทำงานโครงการ We The Students ที่พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ wethestudents.co ให้เป็นเสมือนพื้นที่สำหรับนักเรียนได้ร่วมกันสร้างเกณฑ์มาตรฐานที่ดีในโรงเรียน ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประเมินคุณภาพ และพัฒนาสร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนร่วมกับคุณครูหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ ประสบการณ์และบทเรียนที่ได้จากโครงการนี้เอง ทำให้ผู้เขียนเห็นถึงแนวทางที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์การบูลลี่ของเด็กนักเรียนได้ด้วยการส่งเสริมให้พวกเขามีพื้นที่เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสังคม หรือ Code of conduct ที่สนับสนุนการยอมรับความเเตกต่าง ไม่มองข้ามเเม้เพียงการกระทำที่เล็กน้อยของตนเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมภายใต้กระบวนการเรียนรู้ธรรมาภิบาลผ่านการปฏิบัติจริงอันจะปลูกฝังให้พวกเขามีความรับผิดชอบต่อสังคมมีส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงเเก้ไขสถานการณ์ Bully และCyberbullying ให้ดีขึ้นได้โดยเริ่มจากพวกเขาเอง
หากท่านผู้อ่านสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ We The Students สามารถรับชมวีดีโอนำเสนอโครงการได้ที่ Youtube ช่อง We The Students Thailand และติดตามข่าวสารการดำเนินโครงการ We The Students ได้ที่เฟซบุ๊คเพจ We The Students Thailand
ธิดาภรณ์ แป๊ะสมัน
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เวทีต้านโกงระดับโลก เขาพูดคุยอะไรกัน
4 ประเด็นน่าสนใจจาก “Summit for Democracy 2023” การประชุมระดับโลกเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษา HAND Social Enterprise HANDSocialEnterprise ได้รับเชิญจากรัฐบาลเกาหลีใต้ให้ไปร่วมเสวนาในงาน Summit for Democracy 2023 หัวข้อหลักงานปีนี้คือ “การต่อต้านคอร์รัปชัน” เชื่อมโยงคำอธิบายว่า การคอร์รัปชันบ่อนทำลายประชาธิปไตย ในทางกลับกันประเทศที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็งจะทำให้คอร์รัปชันสูงขึ้น
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เปิดตัว KRAC ศูนย์ความรู้ต้านโกง
คอร์รัปชันเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนอย่างมาก ถ้าไม่แก้ไขทุกมิติอย่างครอบคลุมผลที่ตามมาอาจกลายเป็นเพิ่มปัญหาให้สังคมได้ จึงต้องใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือการใช้ความรู้ทางวิชาการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติจึงได้ร่วมมือกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จัดตั้ง “ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค” (Knowledge hub for Regional Anti-corruption and good governance Collaboration: KRAC) ขึ้น เมื่อ 24 เมษายนที่ผ่านมา
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : สื่อสารต้านโกงอย่างไร ถึงได้ผล
ในหลายๆ ครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันให้กับผู้ฟังซึ่งเป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ข้อแนะนำหนึ่งที่มักจะได้มาคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสื่อสาร นำเสนอเรื่องราวของผลกระทบจากการคอร์รัปชันที่รุนแรง เพื่อให้สังคมหวาดกลัวการคอร์รัปชันและรังเกียจคนคอร์รัปชัน เป็นการใช้พลังสังคมเพื่อกดดันให้ “คนโกงไม่มีที่ยืนในสังคม”