What’s โกงing On EP.03 จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจสถานการณ์คอร์รัปชันในภาคการเมืองผ่านมุมมองของ ‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’
หนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติที่ยืนหยัดในหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
การสัมภาษณ์ครั้งนี้เริ่มต้นพูดคุยกันไปตั้งแต่ลานจอดรถของอาคารรัฐสภา ระหว่างทาง ‘พริษฐ์’ ฉายภาพการพูดคุยใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ ประการแรกคือ กระบวนการใช้งบประมาณและแนวโน้มการจัดทำงบประมาณของหน่วยงานรัฐสภา ประเด็นถัดมา คือ การตรวจสอบถ่วงดุลของภาคประชาชนต่อหน่วยงานองค์กรอิสระ ซึ่งทั้งสองประเด็นเป็นเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านในชุดปัจจุบันได้ขับเคลื่อนขึ้นมาเป็นประเด็นทางสังคมหนึ่งที่ชวนให้ติดตาม
ส่วนรายละเอียดทั้งสองประเด็นจะเป็นอย่างไรนั้นบทความนี้จะได้หยิบยกมาอธิบายต่อไป
ประเด็นแรก: กระบวนการใช้งบประมาณ และแนวโน้มการจัดทำงบประมาณของหน่วยงานรัฐสภา
‘พริษฐ์’ ตั้งคำถามถึงกระบวนการใช้งบประมาณที่ผ่านมาของรัฐสภา โดยยกตัวอย่างถึงการจัดทำโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภา (เพิ่มเติม) ที่ครม.อนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2568 มีมูลค่าโครงการรวมจำนวนทั้งสิ้น 4,593 ล้านบาท โดยมีแหล่งที่มาของเงินมาจากงบประมาณรายจ่ายผูกพันข้ามปี 3 ปี ประกอบด้วย งบประมาณปี 69 จำนวน 1,500 ล้านบาท งบประมาณปี 70 จำนวน 1,500 ล้านบาท และงบประมาณปี 71 จำนวน 1,593 ล้านบาท
หากพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วพบว่าปัจจุบันอาคารรัฐสภามีที่จอดรถอยู่ 2,000 ที่ ซึ่งขัดแย้งกับเกณฑ์และสัดส่วนตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร 2544 ที่สามารถคำนวณพื้นที่ใช้สอยของอาคารต่อแปลงมาเป็นจำนวนพื้นที่จอดรถออกมาได้ขั้นต่ำ 3,500 ที่ แต่อาคารแห่งนี้มิได้เป็นเช่นนั้น และกำลังจะก่อสร้างเพิ่มเติม คำถามคือ แล้วทำไมผู้ออกแบบก่อสร้าง ผู้จ้าง และผู้มีอำนาจหน้าที่อนุมัติถึงกลับไม่ต้องรับผิดชอบถึงความผิดพลาดเช่นนี้?
และแทนที่ว่าจะใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อตรวจสอบจัดการกับการออกแบบ การจ้าง และการอนุมัติเช่นนี้ กลับปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ และขออนุมัติโครงการใหม่เพื่อแก้ปัญหา โดยตัวโครงการที่ได้รับอนุมัติในหลักการนั้น จะมีโครงการก่อสร้างอาคารที่จอดรถเพิ่มเติมอีก 4,500 คันทดแทน ท่ามกลางความกังขาว่า จำนวนพื้นที่จอดรถที่เพิ่มขึ้นมานี้ ใครเป็นคนคำนวณและเอาตัวเลขนี้มาจากไหน เพราะหากนำมารวมกับพื้นที่จอดรถเดิมก็เท่ากับว่าอาคารแห่งนี้จะมีพื้นที่จอดรถรวมเป็น 6,500 คัน ซึ่งจะมากเกินความจำเป็นหรือไม่
ตลอดจนรายละเอียดของโครงการที่ก่อสร้างยังเป็นในรูปแบบการก่อสร้างอาคารจอดรถใต้ดินลึกประมาณ 13 เมตร จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ชั้น มีพื้นที่การก่อสร้างรวมไม่น้อยกว่า 165,000 ตารางเมตร ซึ่งทำให้การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อก่อสร้างครั้งนี้ยิ่งสูงกว่าความจำเป็น
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการขอให้ใช้กระบวนการพิเศษทางงบประมาณ ผ่านคณะกรรมการบริหารเกี่ยวกับการงบประมาณ การเงินและทรัพย์สินของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา (คบง.รส.) ที่มีประธานรัฐสภาเป็นประธาน ซึ่งได้อนุมัติให้มีการโอนงบประมาณจากโครงการในปีงบ 67 มาใช้สำหรับโครงการการจ้างออกแบบก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภาซึ่งมีมูลค่ากว่า 105 ล้านบาท และถือเป็นการโอนงบประมาณที่มูลค่ามากที่สุดในรอบหลายปีผ่านกระบวนการพิเศษเช่นนี้
หลังการโอนงบประมาณดังกล่าวสำเร็จจึงมีการประกาศขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) ออกมาใช้ชื่อว่า โครงการจ้างออกแบบก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภาตามแนวถนนสามเสน โดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปเลขที่ 24/2568 ลงวันที่ 10 ก.พ. 2568 กำหนดการยื่นข้อเสนองานจ้างออกแบบในวันที่ 21 ก.พ. 2568 และนำเสนอแนวคิดในการออกแบบต่อคณะกรรมการจ้าง วันที่ 24 – 25 ก.พ. 2568 โดยต้องมีเอกสารอย่างน้อยคือ
- แนวคิดในการออกแบบทั้งด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรมโครงสร้าง วิศวกรรมระบบ และงานภูมิสถาปัตยกรรม
- แนวคิดการออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
- ผังบริเวณแปลนรูปตัดรูปด้าน
- ทัศนียภาพ (Perspective) ภายนอกอาคาร 10 รูป และภายในอาคาร 10 รูป พร้อม Digital File
ต่อมาภายหลังบริษัทผู้ยื่นเสนอรายหนึ่งได้ทำหนังสือขอให้พิจารณาเลื่อนกำหนดวันยื่นข้อเสนองานจ้างออกแบบก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภาถึง 3 ฉบับ ด้วยเหตุผลว่าระยะเวลา 10 วันที่ให้มานั้นไม่เพียงพอต่อการจัดทำข้อเสนอ และควรให้เวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน
โดยทางสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหนังสือแจ้งตอบกลับเรื่องดังกล่าวว่า ‘เมื่อหน่วยงานรัฐออกเผยแพร่ประกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวันยื่นข้อเสนอได้’ ทำให้บริษัทรายดังกล่าวหันมายื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน (คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังถึงการกำหนดคุณลักษณะการให้คะแนนผู้ชนะแทน
ผลปรากฎว่าข้อกล่าวอ้างของบริษัทผู้ร้องอุทธรณ์ผลฟังขึ้น และมีผลต่อการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีนัยสำคัญ จึงทำให้ต้องยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง และดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 119 วรรคสอง
ถึงแม้จะมีคำสั่งให้ต้องดำเนินการจัดจ้างในโครงการใหม่ และสุดท้ายดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณไม่ทันประจำปีงบประมาณ แต่ก็ยังต้องจับตามองต่อไปว่าสภาฯ จะใช้อำนาจผ่านกระบวนการพิเศษเช่นนี้ขึ้นมาอีกหรือไม่ ซึ่งอาจจะทำให้โครงการนี้กลับฟื้นขึ้นมาอีก จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องตรวจสอบและติดตามกันต่อไป
ประเด็นที่สอง: การตรวจสอบถ่วงดุลของภาคประชาชนต่อหน่วยงานองค์กรอิสระ
ประเด็นการตรวจสอบถ่วงดุลของภาคประชาชนต่อหน่วยงานองค์กรอิสระ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ภาคประชาสังคม และพรรคฝ่ายค้านนำเสนอต่อสังคม โดยชี้ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อถอดถอนเสนอกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านประธานรัฐสภาได้ซึ่งถือเป็นองค์กรอิสระหน่วยงานเดียวที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องการถอดถอนไว้
ต่างกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ที่กำหนดให้ประชาชน 50,000 รายชื่อ เข้าชื่อยื่นเสนอถอดถอนศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตำแหน่งอื่น ๆ เช่น นายกรัฐมนตรี สส. สว. โดยกระทำได้ทุกหน่วยงานที่เป็นองค์กรอิสระ และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้ประชาชน 20,000 คน สามารถเข้าชื่อยื่นเสนอถอดถอนในทำนองดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ กำหนดให้ยื่นผ่านประธานรัฐสภา
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาและที่มาของการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ เพื่อเพิ่มการตรวจสอบถ่วงดุล และเพิ่มที่มาของการสรรหากรรมการในองค์กรอิสระ โดยปัจจุบัน ภาคประชาชนและพรรคฝ่ายค้านได้มีการเข้าชื่อเสนอญัตติกฎหมายดังกล่าวแล้วรอการพิจารณาของรัฐสภา และจะเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไป
‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’ กล่าวก่อนจบการสนทนาว่า หลักการทำงานของเขาในการทำงานตรวจสอบ คือ เมื่อพบเห็นอะไรผิดปกติต้องตั้งคำถามด้วยความสงสัย และมีการตั้งคำถามอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงประชาชนทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการตั้งคำถาม และกล้าตรวจสอบการกระทำของผู้มีอำนาจ ท้ายที่สุดหากทำได้ หลักการนี้จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างพฤติกรรมต่อต้านการคอร์รัปชันในอนาคตต่อไป
เสฏฐวุฒิ เกตุแก้ว
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data
Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน
ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ
เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”


