
โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของสังคม รวมถึงการต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัดและความต้องการเร่งด่วนเพิ่มขึ้นอย่างสูง การรักษาความโปร่งใสและความรับผิดชอบจึงยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับสร้างความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจทำให้การต่อสู้กับคอร์รัปชันเป็นไปได้ยากขึ้น โดยงานวิจัยเรื่อง “โครงการศึกษาพรมแดนและช่องว่างความรู้เรื่องธรรมาภิบาลและคอร์รัปชัน เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ปี พ.ศ. 2566 – 2570 (2565)” โดย ธานี ชัยวัฒน์ และคณะ
ซึ่งศึกษาผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลทั่วโลก โดยรายงานขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้สรุปเอาไว้ทั้งหมด 10 ด้าน ดังนี้
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลทั่วโลก
1. ประชาชนทั่วไปและสิทธิของประชาชน
ผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นคือ การที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในช่วงโควิดช่วยเพิ่มโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการคอร์รัปชันให้ง่ายขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มช่องทางการแจ้งเบาะแสทุจริต ในขณะที่ผลกระทบเชิงลบคือ การเข้าร่วมต่อต้านการคอร์รัปชันในพื้นที่สาธารณะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากพื้นที่สาธารณะลดลงและเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ภาครัฐยังสามารถปิดปากประชาชนที่ต่อต้านการคอร์รัปชันได้ง่ายขึ้นจากหลักฐานบนโลกออนไลน์ เช่น ในช่วงโควิดรัฐบาลฮังการีได้ออกกฎอัยการศึก ทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการจำคุกสื่อหรือนักข่าวที่วิจารณ์รัฐบาล ได้ถึง 5 ปี
2. การตรวจสอบและการถ่วงดุล
ไม่มีผลกระทบเชิงบวก มีเพียงผลกระทบเชิงลบที่มาจากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทำให้ภาครัฐมีอำนาจพิเศษจากการออกกฎหมายในสภาวะฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิด หรือการใช้อำนาจอย่างขาดความรับผิดชอบได้
3. ความสามารถของรัฐ
ผลกระทบเชิงบวกคือ รัฐมีอำนาจมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นคงในการบริหารจัดการที่มากขึ้นภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะเดียวกันก็เกิดผลกระทบเชิงลบ คือวงจรอุบาทว์ (Vicious Cycle) หรือสภาวะที่รัฐทำพฤติกรรมเชิงลบซ้ำซาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในรัฐที่มีความสามารถต่ำ ส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้ใจต่อภาครัฐ และเกิดการคอร์รัปชันเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้การจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินอาจทำให้เกิดคอร์รัปชันได้ง่าย เพราะสถานการณ์เร่งด่วนทำให้มีการตรวจสอบน้อยลงและมีการลดหย่อนทางกฎระเบียบ
4. ระบบเศรษฐกิจ
ไม่เกิดผลกระทบเชิงบวกมีเพียงผลกระทบเชิงลบคือ เศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ มีการเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจนอกระบบหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่นอกการควบคุมและบันทึกของรัฐบาลที่เอื้อให้เกิดการคอร์รัปชันได้ง่าย มีการนำทรัพยากรมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจในทางที่ผิดในระยะยาวมากขึ้น เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และเกิดความขาดแคลน ทำให้ความเสี่ยงของการจ่ายเงินใต้โต๊ะสูงขึ้น
5. ความไม่เท่าเทียมกัน
โควิด-19 ส่งผลกระทบเชิงลบทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนจน และคนชายขอบ หากรัฐจัดการเงินช่วยเหลือได้ไม่ดีพอจะทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการติดสินบนเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นจำนวนมากในช่วงนี้
6. ความร่วมมือในสังคมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
ผลกระทบเชิงบวกคือ การที่เราเห็นสังคมช่วยเหลือกันในยามวิกฤต ในขณะเดียวกันก็เกิดผลกระทบเชิงลบที่โรคระบาดทำให้เกิดความหวาดระแวงและความไม่ไว้วางใจในสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน นอกจากนี้ประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นต่อสถาบันสาธารณะ ทำให้พวกเขาลังเลที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชัน
7. ภูมิทัศน์ของข้อมูลข่าวสาร
ผลกระทบเชิงบวกคือ คนหันมาบริโภคข้อมูลความรู้กันมากขึ้น อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านคอร์รัปชันยังได้เข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน แต่ขณะเดียวกันก็เกิดผลกระทบเชิงลบเนื่องจากข้อมูลข่าวสารจำนวนมากถูกบิดเบือน
8. บทบาทของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่ใช่ภาครัฐ
ผลกระทบเชิงบวกคือ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการกำกับดูแลที่ดี และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่ผลกระทบเชิงลบ บริษัทเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีอำนาจมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อาจใช้โอกาสในช่วงวิกฤตโควิด-19 ในการล็อบบี้เพื่อให้ได้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง
9. เส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมาย
ผลกระทบเชิงบวกคือ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้สังคมหันมาตระหนักเรื่องความเป็นธรรมทางภาษีมากขึ้น และมีการถกเถียงเรื่องความโปร่งใสของทรัพย์สินกันมากขึ้น แต่ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นคือ การทุ่มทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การกำกับดูแลด้านการเงินอ่อนแอลง
10. กิจการระหว่างประเทศ
ไม่เกิดผลกระทบเชิงบวก มีเพียงผลกระทบเชิงลบ เช่น สถาบันพหุภาคีมีบทบาทลดลง แรงสนับสนุนผู้นำประเทศแต่ละประเทศให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศลดลง เงื่อนไขของธรรมาภิบาลสำหรับการช่วยเหลือหรือทำงานร่วมกันระหว่างประเทศลดลง
3 กรอบหลักจากองค์กร OECD เพื่อเป็นแนวทางฟื้นฟูธรรมาภิบาลหลังโควิด-19
1. ธรรมาภิบาลเชิงพฤติกรรม
เป็นการกำหนดแนวทางการศึกษาวิจัยและพัฒนาธรรมาภิบาลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการตัดสินใจของแต่ละบุคคล แบ่งเป็น 4 กรอบย่อย คือ
1) ความไว้เนื้อเชื่อใจสาธารณะ (Public Trust) รัฐควรมีตรวจสอบ ติดตาม และกำกับดูแลความไว้วางใจของประชาชนต่อสถาบันสาธารณะ
2) การกำกับดูแล (Regulation) ด้วยการสะกิดเชิงนโยบาย (Policy Nudge) รัฐควรคำนึงถึงพฤติกรรมของมนุษย์ให้มากขึ้น ควรมีการให้ทุนวิจัยเชิงนโยบายเพื่อออกแบบและทดลองนโยบายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ที่ช่วยเพิ่มความเต็มใจของประชาชนในการมีส่วนร่วม
3) คุณธรรมของภาครัฐ (Public Integrity) ในอนาคตภาครัฐควรเน้นที่การประเมินความเสี่ยงในการทุจริต โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต และการทำความเข้าใจพฤติกรรมการทุจริต เพื่อออกแบบระบบและกลไกการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4) ความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย (Diversity and Inclusion) ควรมีการวิจัยในอนาคตโดยเน้นศึกษาผลกระทบของโควิด-19 และนโยบายต่าง ๆ ต่อกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย เช่น เพศ วัย สุขภาพ อาชีพ และสถานะทางเศรษฐกิจ เพื่อออกแบบกลไกหรือนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชากรแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม
2. ธรรมาภิบาลเชิงกลไก
เป็นการกำหนดแนวทางการศึกษาวิจัยและพัฒนาธรรมาภิบาลที่เกี่ยวข้องกับกลไกและเครื่องมือในการเชื่อมโยงปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แบ่งเป็น 4 กรอบย่อย คือ
1) นวัตกรรมสำหรับภาครัฐ (Public Sector Innovation) ภาครัฐควรนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และออกแบบนโยบาย จะช่วยให้ภาครัฐสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น และลดปัญหาคอร์รัปชันได้
2) รัฐบาลดิจิทัลและข้อมูลดิจิทัล (Digital Government and Data) รัฐบาลดิจิทัลและข้อมูลดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาการทำงานของภาครัฐ เพิ่มความโปร่งใส และสร้างความไว้วางใจจากประชาชน ซึ่งประเทศไทยควรเร่งผลักดันและพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
3) รัฐบาลแบบเปิดและการสื่อสารสาธารณะ (Open Government and Public Communication) ควรมุ่งเน้นศึกษาการเปิดเผยข้อมูลและการสื่อสารสาธารณะควบคู่กันไป พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการจัดการข่าวลวงหรือข่าวปลอม เพื่อสร้างความโปร่งใส ความไว้วางใจ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของภาครัฐ
4) โครงสร้างพื้นฐานและการจัดซื้อจัดจ้าง (Infrastructure and Procurement) การศึกษาบทบาทของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลกระทบระยะยาว การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการลงทุนภาครัฐเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
3. ธรรมาภิบาลเชิงระบบ
เป็นการกำหนดแนวทางการศึกษาวิจัยและพัฒนาธรรมาภิบาลที่เกี่ยวข้องกับระบบหรือโครงสร้างในการสร้างธรรมาภิบาลและแก้ปัญหาการคอร์รัปชันของประเทศ แบ่งเป็น 4 กรอบย่อย คือ
1) ความเสี่ยงภาครัฐและการจัดการวิกฤต (Risk Governance and Crisis Management) การบริหารความเสี่ยงและการจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการบูรณาการ ทั้งในด้านนโยบาย โครงสร้างสถาบัน และการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการสร้าง ความยืดหยุ่น ในการทำงาน เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายและวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที
2) การจัดการงบประมาณและสาธารณะ (Budgeting and Public Management) ควรมีศึกษากระบวนการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วมในกลุ่มที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความหลากหลายของสังคม และศึกษารูปแบบการกระจายอำนาจ ที่จะนำไปสู่ความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณแก่ประชากรทุกกลุ่ม และส่งเสริมประชาธิปไตย
3) การต่อต้านการค้าผิดกฎหมาย (Countering Illicit Trade) ควรมีการศึกษาพลวัตของการค้าสินค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ รวมถึงพัฒนากลไกการกำกับดูแลทรัพย์สินทางปัญญา แสวงหากลไกในการกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพสินค้า เพื่อแก้ปัญหาสินค้าปลอมและสินค้าด้อยคุณภาพ
4) ความสอดคล้องเชิงนโยบายและการประสานงาน (Policy Coherence and Co-ordination) ความสอดคล้องเชิงนโยบายและการประสานงานเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งเสริมธรรมาภิบาลที่ดี การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรทั้งในและต่างประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
การนำเสนอแนวทางการศึกษาเรื่องธรรมาภิบาลในอนาคตของ OECD นี้ มีความครอบคลุมประเด็นธรรมาภิบาลอย่างครบถ้วน จึงน่าสนใจในการนำมาปรับใช้เป็นแนวทางการดำเนินนโยบายเรื่องธรรมาภิบาลของประเทศไทยเพื่อฟื้นฟูธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
การศึกษาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ต่อการต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้เท่านั้น ภายในงานวิจัยเรื่อง “โครงการศึกษาพรมแดนและช่องว่างความรู้เรื่องธรรมาภิบาลและคอร์รัปชัน เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ปี พ.ศ. 2566 – 2570 (2565)” โดย ธานี ชัยวัฒน์ และคณะ ยังได้นำเสนอประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น พัฒนาการขององค์ความรู้ในเรื่องธรรมาภิบาลของประเทศไทยในช่วงปี 2550 – 2564 หรือประเด็นการศึกษาคอร์รัปชันระดับสากลในอนาคต สามารถอ่านสรุปประเด็นสำคัญของวิจัยเพิ่มเติมได้ที่บทความสรุปงานวิจัยที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
ธานี ชัยวัฒน์, ชนลักษณ์ ชัยศรีลักษณ์, ณัชฎา คงศรี, นิชาภัทร ไม้งาม, จารุวัฒน์ เอมซ์บุตร, ปกรณ์สิทธิ ฐานา และศิวัช พู่พันธ์พานิช (2565). โครงการศึกษาพรมแดนและช่องว่างความรู้เรื่องคอร์รัปชันและธรรมาภิบาล เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี พ.ศ. 2566-2570. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.).
- ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
ชวนเรียนหลักสูตรต่อต้านคอร์รัปชัน และการส่งเสริมธรรมาภิบาลร่วมสมัยกับ 6 ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?