
การจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำในท้องถิ่น
โจทย์เรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่สังคมไทยเผชิญมาหลายสิบปี และหนึ่งในประเด็นสำคัญที่มักถูกพูดถึงคือการจัดสรรงบประมาณท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางนับเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่น
เนื่องจากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการคลังของหน่วยงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้บริการสาธารณะมีมาตรฐาน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าเงินอุดหนุนที่ถูกส่งต่อยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และอาจกลายเป็นการสร้างปัญหาและซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น
โดยงานวิจัยเรื่อง “บทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทศวรรษหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง” (2562) โดย บรรเจิด สิงคะเนติ เเละคณะ ได้ศึกษาบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อศึกษาการกระจายอํานาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย โดยใช้วิธีสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐและการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยที่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกซ้ำเติมมากกว่าเดิม
สรุป 3 ปัญหาหลักในการจัดสรรงบประมาณท้องถิ่น
1. การจัดสรรเงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม
ในปัจจุบันการจัดสรรเงินอุดหนุนยังขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและโปร่งใส โดยมักใช้หลักเกณฑ์ง่าย ๆ เช่น การวัดจำนวนประชากร หรือขนาดพื้นที่เป็นหลักในการคำนวณ ทำให้เงินอุดหนุนไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและความต้องการของท้องถิ่น นอกจากนี้ยังพบว่า เงินอุดหนุนมักถูกจัดสรรไปยังพื้นที่ที่ร่ำรวยอยู่แล้วมากกว่าพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางการคลังเพิ่มสูงขึ้น
2. ความไม่แน่นอนในการจัดสรรเงินอุดหนุน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถคาดการณ์จำนวนเงินอุดหนุนที่จะได้รับได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากรัฐบาลไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์และแหล่งเงินที่ชัดเจน รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การจัดสรรอยู่เสมอ สภาพการณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนพัฒนาของท้องถิ่น
3. เงินอุดหนุนเฉพาะกิจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
โดยการศึกษาพบว่า เงินอุดหนุนเฉพาะกิจมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการแทรกแซงจากนักการเมืองในการผลักดันงบประมาณไปยังพื้นที่ของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลและการสูญเสียงบประมาณได้
แล้วเราจะหยุดการจัดสรรงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชุมชนได้อย่างไร ?
จากปัญหาดังกล่าวงานวิจัยได้แนะนำแนวทางในการสร้างระบบที่เป็นธรรมและโปร่งใส โดยมองว่าการจัดสรรงบประมาณท้องถิ่นควรทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปสู่ความเสมอภาคทางการคลังโดยมีทั้งหมด 3 ข้อ ดังนี้
- ควรพัฒนาฐานข้อมูลท้องถิ่น สร้างระบบฐานข้อมูลท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรม
- ควรกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบ ติดตาม และบังคับใช้ได้ เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพและป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
- ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำงบประมาณอย่างเข้มข้น เพื่อให้งบประมาณตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
เงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง ควรเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองที่สร้างปัญหาและซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบการจัดสรรเงินอุดหนุนที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
เรื่องของความเหลื่อมล้ำจากการจัดสรรงบประมาณเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยชิ้นนี้เท่านั้น งานวิจัยเรื่อง “บทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทศวรรษหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง” (2562) โดย บรรเจิด สิงคะเนติ และคณะ ยังได้ศึกษาองค์กรปกครองท้องถิ่นในมุมมองอื่น ๆ เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง ที่จะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในทศวรรษหน้า หรือธรรมาภิบาลกับการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถอ่านสรุปประเด็นสำคัญของวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
บรรเจิด สิงคะเนติ, พัชรวรรณ นุชประยูร, ฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์, วัชรชัย จิรจินดากุล, ดารุณี พุ่มแก, วศิน โกมุท และศักดิ์ณรงค์ มงคล. (2562). บทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทศวรรษหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.).
- ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I ในสังคมที่มีความร่วมมือหรือความไว้เนื้อเชื่อใจกันสูง รัฐจะสร้างประโยชน์จากข้อค้นพบนี้อย่างไร ?
มุมมองของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐ หนึ่งกลุ่มจ่ายภาษี อีกกลุ่มเข้ามาทำหน้าที่พัฒนาบริการสาธารณะให้เกิดประโยชน์ แต่มีหลายครั้งที่โครงการไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น ศาลาสร้างทิ้งไว้ไม่มีคนใช้ จนบางครั้งประชาชนต้องลงแรงทำกันเอง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ลดการโกง ผ่านการสร้างวัฒนธรรมชุมชนที่ดี
หากกล่าวถึง “สาเหตุของคอร์รัปชัน” สิ่งแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงอาจเป็น นักการเมืองที่จ้องจะโกงหรือตัวกฎหมายที่มีช่องว่างให้คนโกง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องใกล้ตัวอย่าง “วัฒนธรรมชุมชน” ก็เป็นหนึ่งในกลไกที่เอื้อให้เกิดการคอร์รัปชันได้เช่นกัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ประเทศมหาอำนาจ มีแนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชันท้องถิ่นอย่างไร ?
ชวนศึกษารูปแบบองค์กรปกครองท้องถิ่นสหรัฐฯ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีทั้งการเมืองที่มั่นคง เศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รวมทั้งมีอิทธิพลต่อโลกในหลายด้าน เช่น วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการคอร์รัปชันได้ดีเป็นอันดับที่ 24 ของโลกจากการจัดอันดับดัชนีการรับรู้การทุจริตขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ