ทรัพย์สินที่ไม่ควรอยู่ในเงามืด: เมื่อความโปร่งใสคือพันธกิจของเจ้าหน้าที่รัฐ
ข่าวคราวนักการเมืองที่ร่ำรวยผิดปกติหลังพ้นตำแหน่ง หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่มีบ้านหลายหลัง รถหรูนับสิบคัน ย่อมทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่าทรัพย์สินเหล่านี้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงจริงหรือไม่?
เพราะเมื่อความมั่งคั่งของผู้มีอำนาจดูไม่สอดคล้องกับรายได้ที่พึงมี อำนาจซึ่งควรเป็นเครื่องมือรับใช้ประชาชน ก็อาจกลายเป็นช่องทางสร้างความมั่งคั่งให้คนบางกลุ่มแทน
ในคอลัมน์ KRAC Extract ประจำเดือนนี้ เราขอพาทุกท่านไปสำรวจกลไกที่หลายประเทศทั่วโลกใช้เพื่อรับมือกับคำถามข้างต้น ผ่านรายงาน “Improving and Enforcing Income, Interest and Asset Declaration Systems” โดย Maria Dominguez (2024) ที่ได้วิเคราะห์การออกแบบและการบังคับใช้ระบบการเปิดเผยรายได้ ผลประโยชน์ และทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและตรวจจับการทุจริต ที่อาจเป็นคำตอบของการฟื้นฟูความไว้วางใจในภาครัฐ
เป้าหมาย 3 ประการของระบบการยื่นบัญชีรายได้ ผลประโยชน์ และทรัพย์สิน (IIAD)
ระบบการยื่นบัญชีรายได้ ผลประโยชน์ และทรัพย์สิน (Income, Interest and Asset Declaration: IIAD) มีเป้าหมายหลักสามประการที่เสริมกันอย่างเป็นระบบ
ประการแรก เพื่อป้องกันและตรวจจับความร่ำรวยผิดปกติของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการติดตามความเปลี่ยนแปลงของฐานะทางการเงินที่ไม่สอดคล้องกับรายได้
ประการที่สอง เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ผ่านการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจหรือผลประโยชน์ส่วนตนที่อาจขัดกับหน้าที่ราชการ
และประการสุดท้าย เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใส ความไว้วางใจ และวัฒนธรรมความรับผิดชอบในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ
กำหนดขอบเขต เนื้อหา และความถี่ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ชัดเจน
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ระบบ IIAD ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องตั้งอยู่บนองค์ประกอบสำคัญหลายด้าน เริ่มต้นจาก “ขอบเขต” ซึ่งต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าใครคือผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชี โดยเฉพาะการมุ่งเน้นไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงและตำแหน่งที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต นอกจากนี้ในบางประเทศยังขยายขอบเขตไปถึงคู่สมรสและบุตร เพื่อป้องกันการโยกย้ายทรัพย์สินผ่านเครือญาติ
ด้าน “เนื้อหา” ของการยื่นควรครอบคลุมทั้งรายได้ ทรัพย์สิน หนี้สิน ของขวัญ และผลประโยชน์อื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การตรวจสอบสามารถสะท้อนภาพรวมทางการเงินได้ครบถ้วน
นอกจากนี้ ระบบยังต้องกำหนด “ความถี่” ของการยื่นบัญชีอย่างเหมาะสม โดยเจ้าหน้าที่ควรยื่นเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ระหว่างดำรงตำแหน่ง และหลังพ้นตำแหน่ง รวมถึงควรมีการยื่นเป็นระยะ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้
เช่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-filing เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ยูเครนได้นำระบบ e-declaration มาใช้เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลของรัฐและตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทางการเงินโดยอัตโนมัติ
กำหนดวิธีตรวจสอบและบทลงโทษที่เข้มงวด
หัวใจสำคัญอีกประการคือ “การตรวจสอบ” ซึ่งต้องมีหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจและทรัพยากรเพียงพอในการตรวจความถูกต้องของข้อมูล ทั้งในรูปแบบการสุ่มตรวจ การเลือกตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง หรือการตรวจตามคำร้องเรียน
ตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียมอบหมายให้คณะกรรมาธิการปราบคอร์รัปชันเป็นผู้ตรวจสอบโดยตรง ส่วนในโรมาเนียมี “สำนักงานความซื่อสัตย์แห่งชาติ” (National Integrity Agency) ที่มีอำนาจทั้งตรวจสอบและลงโทษได้ในหน่วยเดียว
ด้าน “บทลงโทษ” ถือเป็นอีกกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบมีประสิทธิภาพจริงในการบังคับใช้ หากขาดมาตรการที่เข้มงวด การไม่ยื่นหรือยื่นข้อมูลเท็จก็จะไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายและลดทอนความน่าเชื่อถือของระบบ
ดังเช่นตัวอย่างจากบัลแกเรีย มีการปรับตั้งแต่ 1,000 ถึง 3,000 เลฟ (19,000 – 58,000 บาท โดยประมาณ) หรือจำคุกสูงสุดสามปี สำหรับผู้ยื่นข้อมูลเท็จ และในลัตเวีย หากพบความร่ำรวยผิดปกติ หน่วยงานด้านภาษีสามารถส่งต่อให้ตำรวจการเงินและอัยการดำเนินคดีต่อได้โดยตรง
เสริมระบบให้มีพลังด้วยการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
“การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ” เป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้ระบบมีพลัง ประเทศที่เปิดโอกาสให้ประชาชนและสื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เช่น ลิทัวเนียและแอลเบเนีย พบว่าการตรวจสอบจากภาคประชาสังคมช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างแรงกดดันทางสังคมอย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนี้ การให้สื่อมวลชนเข้ามามีส่วนร่วมวิเคราะห์ข้อมูล เช่น กรณีเครือข่ายสื่อ “BIRN” ในแอลเบเนีย ที่ใช้ข้อมูล IIAD พัฒนา “ธงแดงเตือนความเสี่ยง (red flag)” เพื่อให้หน่วยงานรัฐนำไปตรวจสอบต่อ ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้พลังสาธารณะสนับสนุนการกำกับดูแลภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การมีระบบที่ออกแบบดีเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอหากขาดการบังคับใช้จริงอย่างมีกลยุทธ์ โดยรายงานได้เสนอแนวทางเสริม 6 ประการเพื่อให้ระบบ IIAD มีพลังอย่างแท้จริง ได้แก่
- การใช้แนวทางค่อยเป็นค่อยไป (incremental approach) เริ่มจากการบังคับให้ยื่นครบถ้วนก่อนแล้วค่อยเพิ่มระดับการตรวจสอบ
- การใช้กลยุทธ์ประจานทางสังคม (naming and shaming) โดยเปิดเผยชื่อผู้ไม่ยื่นหรือยื่นเท็จต่อสาธารณะ
- การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ เช่น หน่วยงานด้านภาษี ที่ดิน และ
- การจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินที่ถูกย้ายไปต่างแดน
- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจแนวคิดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
- การเชื่อมโยงระบบ IIAD เข้ากับนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันอื่น เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส เป็นต้น
เจตจำนงทางการเมือง กระตุ้นให้เกิดการเปิดเผยข้อมูล
ท้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้ระบบเปิดเผยทรัพย์สินมีความหมายแท้จริงไม่ใช่เพียงตัวบทกฎหมายหรือแบบฟอร์มที่ซับซ้อน แต่คือเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการเปิดเผย การบังคับใช้อย่างเที่ยงตรง และการมีส่วนร่วมของสังคม
เพราะความโปร่งใสไม่อาจเกิดขึ้นจากคำประกาศเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ต้องอาศัย “การร่วมกันเปิดเผย” และ “การร่วมกันเฝ้ามอง” อย่างมีความรับผิดชอบ ระบบ IIAD จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเทคนิค
แต่คือเสาหลักของวัฒนธรรมความซื่อสัตย์ที่ทำให้รัฐยืนอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจจากประชาชนอย่างแท้จริง
คอลัมน์ “KRAC Extract” สกัดองค์ความรู้ที่จับต้องได้ผ่านการศึกษาสถานการณ์คอร์รัปชันโลกที่จะพาคุณไปสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชันในระดับสากล เจาะลึกรายงานจากแหล่งข้อมูลนานาชาติ และวิเคราะห์ประเด็น Hot ที่โลกกำลังจับตา เพราะคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และการเรียนรู้บทเรียนจากต่างประเทศคือหนึ่งในกุญแจสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
เรียบเรียงโดย ธนากาญจน์ กันทอง
ฝ่ายสื่อสารองค์ความรู้
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data
Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน
ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ
เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”


