ในโอกาสของการเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ Pride Month และเป็นปีแห่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญของกฎหมายไทยสำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือ การเริ่มบังคับใช้ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียที่มีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว
ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่รองรับและให้การคุ้มครองสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมด 2 ฉบับ โดยฉบับแรกก่อนหน้ากฎหมายสมรสเท่าเทียม คือ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงเพศชายหญิง จากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลเกี่ยวกับเพศ
จากความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการยอมรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในทางกฎหมายของประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงนั้น มีงานศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาของกลุ่มผู้มีความหลากหลายในประเทศไทยที่ยังถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
จากการสัมภาษณ์ผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดย จิตต์สิรี ทองน้อย (2567) พบว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในการรับเข้าทำงาน การตั้งคำถามเกี่ยวกับการแต่งกาย การคุกคามทางคำพูด และการล้อเลียนผ่านการแซวหรือการยกเรื่องเพศมาทำให้เป็นเรื่องตลก [1]
อีกทั้งจากข้อมูลที่นำเสนอโดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในงานเวทีประชุมระดับชาติ “ข้ามเพศมีสุข” ครั้งที่ 2 ที่พบว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศบางส่วนยังคงต้องเผชิญกับการกีดกันหรือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม [2] โดยเห็นได้จากผลการศึกษาดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566 ที่พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการเคยถูกเลือกปฏิบัติในสถานบริการสุขภาพถึงร้อยละ 16 โดยกลุ่มที่ถูกเลือกปฏิบัติมากที่สุด คือ กลุ่มบุคคลข้ามเพศ โดยคิดเป็นร้อยละ 25 (พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์, 2568)
เช่นเดียวกับในวงเสวนาเปิดปมการเลือกปฏิบัติทางเพศในกระบวนการยุติธรรม ก็พบเช่นกันว่านักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ ต้องเผชิญกับการคุกคามทางคำพูดหรือการใช้คำพูดที่แสดงออกถึงอคติทางเพศจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน หรือเมื่อได้รับข้อความโจมตี/คุกคามทางเพศผ่านช่องทางออนไลน์แล้ว หากต้องการใช้บริการกระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขปัญหา ก็จะถูกเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและให้ไปดำเนินการเอง อีกทั้งยังต้องเจอคำพูดที่เป็นการดูถูกจากเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน (ศิริลักษณ์ ทาเป็ง, 2566) [3]
ในขณะเดียวกัน กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศเองก็ได้รับการเลือกปฏิบัติในการทำงานตั้งแต่กระบวนการรับเข้าที่พบว่าการสอบสัมภาษณ์ในกรณีของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เลือกแต่งกายในลักษณะที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด อาจได้รับการปฏิบัติที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลกได้ และภายหลังจากการรับเข้าทำงาน เจ้าหน้าที่รัฐในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศก็มีความเสี่ยงที่จะพบกับสภาวะการทำงานที่ไม่เป็นมิตรจากการถูกนินทา เสียดสี หรือถูกหัวหน้างานเรียกไปตักเตือนในกรณีแต่งกายไม่ตรงกับเพศกำเนิด อีกทั้ง อาจต้องเผชิญกับความไม่ก้าวหน้าทางอาชีพการงาน โดยเฉพาะในองค์กรตำรวจหรือทหาร (พิชชากร เรืองเดชาวิวัฒน์, 2567) [4]
ทั้งนี้ การถูกเลือกปฏิบัติทางเพศอาจไม่เพียงแค่ทำให้เกิดปัญหาต่อบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ปัญหาการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการเรียกสินบนต่อบุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางเพศในการตัดสินใจรับเข้าทำงาน เลื่อนตำแหน่ง หรือการให้บริการสาธารณะ ดังเช่นในงานศึกษาของ France (2022) ที่พบว่า การเลือกปฏิบัติทางเพศ โดยเฉพาะในสังคมที่มีนโยบาย กฎหมาย หรือวัฒนธรรมที่ “เลือกปฏิบัติ” ต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจหน้าที่ของตนเพื่อเรียกรับสินบนทั้งในรูปแบบเงินหรือรูปแบบผลประโยชน์อื่น ๆ อีกทั้งยังทำให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างเหมาะสม [5]
จากข้อมูลการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มผู้มีความหลากทางเพศดังที่กล่าวมาข้างต้น จะพบว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศบางส่วนยังคงถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งในฐานะประชาชนผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย แม้จะมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้วก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านความครอบคลุมของกฎหมาย การบังคับใช้ และการกำกับดูแลด้านการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในประเทศไทย
ดังนั้น ในทางกฎหมายจึงควรมีการปรับปรุงข้อกฎหมายให้มีความครอบคลุมมากขึ้น และให้อำนาจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเพศได้ นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาผ่านการรับเรื่องร้องเรียนเพียงอย่างเดียวเหมือนในปัจจุบัน (สาวตรี สุขศรี, 2564) [6] ขณะที่ในด้านการกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรภายในองค์กร ควรมีการนำหลักธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นหลักการบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าสามารถช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ ความเป็นธรรม และความรับผิดชอบในการทำงานของบุคลากรมาใช้ในทางปฏิบัติจริงมากขึ้น
ดังเช่นงานศึกษาของธานี ชัยวัฒน์ และคณะ (2565) ที่พบว่า การศึกษาด้านธรรมาภิบาลของประเทศไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับแนวคิดและนิยามเชิงวิชาการ ขณะที่การศึกษาการนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ประโยชน์ในกระบวนดำเนินนโยบายของภาครัฐยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย และการกำหนดนโยบาย [7]
ขณะที่การศึกษาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในขั้นตอนการตัดสินนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบายยังนับว่ามีอยู่น้อย อันแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ของการนำหลักธรรมาภิบาลมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยที่ขาดการนำมาปฏิบัติงานจริง ทำให้แม้จะมีระเบียบหรือกรอบการทำงานที่เหมาะสมในช่วงต้นของการดำเนินนโยบาย แต่ในขั้นปฏิบัติการอาจยังขาดแนวทางหรือการกำกับดูแลที่นำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรม และมีความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐได้
ดังนั้น เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเพศ ภาครัฐจึงควรดำเนินการทั้งในทางกฎหมายด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายให้มีความครอบคลุมปัญหาที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องพบเจอ และให้หน่วยงานที่ทำงานด้านการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเพศสามารถดำเนินมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาได้ และยังต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้แนวทางตามหลักธรรมาภิบาลมาปรับใช้ในทางปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการได้รับบริการจากภาครัฐแก่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย
- ไทยเป็นสวรรค์ของ LGBT+ หรือไม่เมื่อที่ทำงานยังกีดกันกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจิตต์สิรี ทองน้อย (2 สิงหาคม 2567
- พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558: ปัญหาของบทบัญญัติและการบังคับใช้ โดย สาวตรี สุขศรี (29 ธันวาคม 2564)
- โครงการศึกษาพรมแดนและช่องว่างความรู้เรื่องคอร์รัปชันและธรรมาภิบาล เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี พ.ศ. 2566-2570 โดย ธานี ชัยวัฒน์และคณะ (2565)
ศุภชัย เสถียรหมั่น
ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์ KRAC
หัวข้อ
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?