KRAC Hot News I ท้องฟ้าที่ไร้ฝุ่นเป็นไปได้ ด้วยกลไกธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมข้ามพรมเเดน

ผ่านพ้นช่วงปีใหม่ นอกจากลมหนาวที่จะมาเยือนชาวกรุงเทพในทุกปีแล้ว ฝุ่นและมลพิษก็พุ่งติดตามมาด้วยเหมือนเงาตามตัว และปัญหานี้เราทุกคนต่างก็เจอกันซ้ำ ๆ ติดต่อกันหลายปี จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวกรุงเทพไปแล้ว

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ รัฐบาลทั้งส่วนกลางและ กทม. พยายามอย่างมากในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทบกับสุขภาพของใครหลายคน และที่สำคัญมันยังเป็นภัยเงียบที่ค่อย ๆ คร่าชีวิตคนไทยในอนาคตอีกด้วย โดยเฉพาะการเกิดภาวะภูมิแพ้ในเด็ก


มีมาตรการมากมายที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งการฉีดน้ำเพื่อลดฝุ่น การส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ สั่งให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ทำงานที่บ้าน รวมไปถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมในเขต กทม. อย่างแข็งขัน แต่คำถามคือ เราทำแบบนี้ติดต่อกันมาหลายปี แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 นอกจากไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงแล้ว ปัญหายังกลับดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จากระดับ AQI เลขสองหลัก ในวันนี้ตัวเลขคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร กลายเป็นเลขสามหลัก และในหลายพื้น AQI กลับพุ่งสูงไปถึง 200+

เราเชื่อกันมาเสมอว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพเกิดจากควันรถ การก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้เท่านั้น แน่นอนว่าการจัดการกับ 3 สาเหตุข้างต้นยังคงต้องทำอยู่ แต่ต้นตอปัญหาหลักของฝุ่นใน กทม. จริง ๆ นั้น อาจมาจากกิจกรรมการเผาในภาคการเกษตร ซึ่งไม่ใช่แค่ในพื้นที่ กทม. หรือจังหวัดข้างเคียงเท่านั้น แต่อาจรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย

อ่านมาถึงตรงนี้บางท่านอาจสงสัยว่าแล้วฝุ่นจะลอยมาไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ? ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่าในช่วงต้นปีที่เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อยในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งในภาคกลางและภาคตะวันออก เกษตรกรมักจะนิยมใช้การเผาเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้

และเป็นที่น่าสนใจว่า ในช่วงระยะหลายปีมานี้กลุ่มทุนน้ำตาลไทยได้เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชามากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลจาก The 101 world ระบุว่า บริษัทน้ำตาลของไทยเจ้าใหญ่ ได้สัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาในการปลูกอ้อยที่กินพื้นที่กว่า 116,510 ไร่ และดูเหมือนจะขยายขอบเขตการลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไร่อ้อยเหล่านี้ใช้วิธีการเก็บเกี่ยวด้วยวิธีการเผาเช่นเดียวกัน

 

เมื่อเราสำรวจจุดความร้อนจากภาพถ่ายทางเดียวเทียม (ภาพที่ 1) จะเห็นจุดความร้อนขึ้นมากมายในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านที่ประชิดพรมแดนกับประเทศไทย ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับสภาพจุดความร้อนในประเทศไทย และนี่ก็คืออีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าฝุ่นใน กทม. เพิ่มสูงขึ้น

ภาพ 1: จุดความร้อนเปรียบเทียบไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเดือนมกราคม 2568

ถ้าหากถามว่าประเทศเพื่อนบ้านอยู่ไกลแล้วทำไมฝุ่นมาถึง กทม. ? ตามหลักทางภูมิศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นได้ เนื่องจากในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี ภาคกลางของไทยจะเผชิญความกดอากาศสูงกำลังแรงจากจีนเข้ามาปกคลุม เช่นเดียวกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านประเทศไทย ซึ่งสองปัจจัยนี้ทำให้ฝุ่นลอยเข้ามายังประเทศไทย และความกดอากาศสูงทำให้ฝุ่นเกิดการสะสมตัวในพื้นที่ (ภาพที่ 2)

ภาพ 2: การไหลเวียนของกระแสลมในภูมิภาคจะเห็นได้ชัดว่าลมเคลื่อนจ่ากฝั่งตะวันออกไปยังฝังตะวันตก
ฉะนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นจึงไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นนโยบายภายในประเทศเท่านั้น แต่จำเป็นที่จะต้องสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ รวมถึงมีมาตรการกดดันนักลงทุนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ด้วย ดังตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาฝุ่นในภาคใต้ที่เกิดขึ้นจากปัญหาไฟป่าในประเทศอินโดนีเซีย จากงานวิจัยของ พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์ และภูมิ มูลศิลป์ เรื่อง “การกระจายอำนาจ และคอร์รัปชัน: กรณีศึกษาการเผาป่าในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย” (2559)
 

ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถใช้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนในการกดดันประเทศกัมพูชาได้ จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. 2567 กระทรวงการต่างประเทศของไทยเคยหารือในประเด็นนี้กับประเทศกัมพูชามาแล้ว ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้เป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่เหนือกว่าอำนาจอธิปไตยของไทยที่จะสามารถจัดการปัญหานี้ได้เพียงลำพัง

 

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกการทำงานแบบองค์รวมมากกว่าการแก้ไขปัญหาในแบบเฉพาะจุด สอดคล้องกับงานวิจัยของ โสภารัตน์ จารุสมบัติ ที่ศึกษาเกี่ยวกับ “กลไกเชิงสถาบันในการบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน” ที่เสนอว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันมีความซับซ้อนและมีลักษณะที่ข้ามพรมแดนมากยิ่งขึ้น

 
ถ้าวันนี้เราอยากให้ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครกลับมามีสีสันสดใสและไร้ฝุ่น การส่งเสริมธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการผลักดัน พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่จะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 นี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
 
 

เรื่อง : ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

ภาพประกอบ: เจษฎา จงสิริตจตุพร

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

ผู้จัดการ ศูนย์ KRAC

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?

You might also like...

แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคล และธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกงและการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหากำไร 

เมื่อการฟอกเงินเป็นปัญหาร้ายแรงที่ยังคงแพร่หลายในสังคมไทย การแก้ไขปัญหาจึงต้องลองศึกษาแนวทางที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทประเทศไทยในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ยุุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการพัฒนาของรัฐระดับชุมชน

จากการวิเคราะห์ TOWS Matrix 4 ของโครงการต่าง ๆ ของรัฐ สามารถพัฒนาเป็นโมเดลยุทธศาสตร์ เพื่อช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันในโครงการพัฒนาของรัฐระดับชุมชนได้

ปัจจัยที่กำหนดการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล

เมื่อการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นสัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพรรคการเมืองอยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ปัญหาการทุจริตจึงฝังรากลึกอยู่ในการเลือกตั้งทุกระดับ