KRAC Hot News I จาก “เงินทอนวัด” สู่ “มหกรรมสึกพระ” ธรรมาภิบาลวัดที่ต้องเร่งเเก้

คดีสีกากอล์ฟได้เขย่าวงการศาสนาไทยอีกครั้ง เมื่อบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ของไทยพัวพันกับสีกา จนถึงขนาดหอบเงินหอบทองทั้งส่วนตัวและส่วนของวัดไปให้สีกาคนสนิท จนเป็นเหตุให้ต้องลาสิกขา ขาดจากความเป็นพระกันไปหลายวัด


เหตุการณ์ล่าสุดนี้ได้ตอกย้ำวิกฤตศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย ที่ต้องเผชิญสถานการณ์ลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง โดยก่อนหน้านี้ก็มีคดีพระยักยอกเงินวัดให้สีกาคนสนิทไปเล่นการพนันออนไลน์ จนอยู่ในข่ายว่าอาจกลายเป็นการฟอกเงิน

หรือคดีที่ใหญ่ที่สุดคือการหากินเงินหลวงระหว่างฆราวาสกับพระ อย่างคดี “เงินทอนวัด” อันลือลั่น ที่เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดหลายแห่ง แบ่งเงินทอนกันจากการใช้งบประมาณอุดหนุนวัด ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก

เรื่องเงินทองกับพระกลายเป็นเรื่องไม่ดี ไม่งาม และกลายเป็นความเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา ทั้งที่พระวินัยสงฆ์ก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจนถึงการที่ไม่ให้พระข้องแวะกับเงินหรือปัจจัย ไม่ว่าจะรับเอง หรือรับผ่านคนอื่น ถ้ากระทำจะต้อง “นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์” ภิกษุต้องอาบัติประเภทนี้ ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติก่อน จึงจะปลงอาบัติตก

ฉะนั้นหากว่ากันด้วยวินัยพระ ที่เปรียบเสมือนกฎหรือข้อปฏิบัติของสงฆ์ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดนี้แล้ว พระก็ไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับเงินทองเลย แต่ในโลกความเป็นจริง กลับแตกต่างออกไปมาก

และนั่นก็เป็นต้นสายปลายเหตุสำคัญที่ทำให้วัดทุกวันนี้ เผชิญกับความท้าทายและข้อครหาจำนวนมาก ยิ่งวัดใหญ่ คนศรัทธามาก แรงบุญและแรงบริจาคก็มากตามไปด้วย ส่งผลให้พระต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับกับเรื่องการบริหารเงินทองของวัด

เมื่อเงินเยอะมากเข้า ก็อาจทำให้พระหลายวัดหลงใหลไปกับเงินทอง จนเข้าไปพัวพันกับคดีทุจริต รวมไปถึงการยักยอกเงินวัดไปใช้ในกิจการส่วนตัว แม้ว่ากฎหมายบ้านเมืองจะมีความพยายามอย่างมากให้วัดในปัจจุบันมีการทำบัญชีเป็นกิจลักษณะ แต่ดูเหมือนยังคงเป็นเรื่องท้าทายในทางปฏิบัติ และเป็นอะไรตรวจสอบได้ยาก

กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้วัดต้องมีการจัดทำบัญชีวัด หากแต่การจัดทำบัญชีดังกล่าวให้วัดเก็บรักษาไว้ที่วัด

ขณะที่กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) กำหนดให้วัดจัดทำรายงานบัญชีรายรับ รายจ่ายของวัด เพื่อส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุก 1 เดือน แต่ก็มิได้มีการเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบเกี่ยวกับยอดเงินที่ได้รับอุดหนุนจากรัฐ ยอดเงินบริจาค และค่าใช้จ่ายของวัด

กฎหมายทางโลกที่กล่าวมานี้แทบจะไม่ช่วยให้เกิดการตรวจสอบการเงินของวัดเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเปิดโอกาสให้พระ รวมถึงฆราวาสที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเงินของวัดสามารถยักยอกเงินวัดได้ไม่ยาก เพราะเงินบริจาคจำนวนมากที่ไหลเข้าวัดนั้นล้วนอยู่ในรูปเงินสดเป็นส่วนใหญ่

งานวิจัยเรื่องธรรมาภิบาลวัดหลายชิ้นสะท้อนตรงกันว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องเงินของวัดจำเป็นต้องเปิดเผย และโปร่งใสมากขึ้น รวมถึงการให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชีเข้ามาช่วย เช่น งานศึกษาของธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ (1) ที่เสนอไว้อย่างชัดเจนว่าบัญชีวัดจำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนให้เข้าถึงง่าย และควรมีหน่วยตรวจสอบบัญชีภายนอกเข้ามาช่วยตรวจสอบทุก 6 เดือนเพื่อความโปร่งใส

ในขณะที่งานศึกษาของ รัชพล ธนะเกียรติวารี (2) เสนอว่าการปรับระบบเงินวัดให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้นจะช่วยให้การตรวจสอบเงินทำได้ง่ายขึ้น ควรสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบในหมู่พุทธศาสนิกชน และมีการอบรมพระและกรรมการวัดเรื่องบัญชี เพื่อให้วัดมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากขึ้น

นอกจากนี้งานศึกษาของพระมหาวิทยา คำรัง และเพิ่ม หลวงแก้ว (3) ได้เสนอแนะแนวทางการสร้างธรรมาภิบาลวัดไว้เพิ่มเติมที่น่าสนใจคือ การแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 31 ที่ให้อำนาจเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป ส่งผลให้เจ้าอาวาสอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ ควรมีการถ่วงดุลอำนาจ และควรระบุกฎหมายให้ชัดเจน เช่น การแต่งตั้งคณะกรรมการวัด ต้องประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ข้าราชการ ประชาชนผู้มีความรู้ด้านต่าง ๆ ให้ได้มีส่วนร่วมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ตามหลักธรรมาภิบาล อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับหลักพระธรรมวินัย



ในช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนาไทยกำลังถูกท้าทายอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความสั่นคลอนทางศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่พุทธบริษัททั้ง 4 จะได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างความโปร่งใสให้วัด สร้างความมั่นคงให้กับพระ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้วัดเป็นแหล่งปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ผ่านการส่งเสริมธรรมาภิบาลให้กับวัด ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก
ผู้จัดการศูนย์ KRAC 

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ

KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?

You might also like...

KRAC Insight | เมื่อวัดต้องมีระบบ: เพราะศรัทธาต้องการมากกว่าแค่ความเชื่อ

ตั้งแต่เรื่องเงินวัด สีกา ยันการทุจริต “วัดควรบริหารจัดการอย่างไรให้โปร่งใส?” และ “ใครควรรับผิดชอบ?” ชวนหาคำตอบไปกับ KRAC Expert “คุณสุภอรรถ โบสุวรรณ”

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | จากศรัทธาสู่เงินทอน เมื่อวัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงินทุจริต

เมื่อศรัทธาและเงินสนับสนุนกลายเป็นช่องทางฟอกเงิน ค้นพบเบาะเเสสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบได้ในบทความนี้

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | “เดนมาร์ก” ประเทศที่ยืนหนึ่งเรื่องความโปร่งใส แบบไม่พึ่งพาหน่วยงานต่อต้านทุจริต

หากพูดถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน หลายคนคิดว่าจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่นี้โดยตรง แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในประเทศที่ติดอันดับโปร่งใสเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง “เดนมาร์ก” กลับไม่มีหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเฉพาะแบบประเทศไทย