จบไปแล้วกับ KRAC INSIGHT LIVE EP5: โยบายรัฐบาลเปิดของเอสโตเนีย: การสร้างความโปร่งใสของภาครัฐที่ตรวจสอบได้
KRAC ร่วมเจาะลึกเส้นทางการพลิกโฉมของประเทศเอสโตเนียแบบ Insights กับ อาจารย์ ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ประจำภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จะพาไปทำความรู้จักกับประเทศเอสโตเนียในฐานะที่เป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของ “รัฐบาลเปิด” ที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเปิดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใสของภาครัฐ โดยทีม KRAC ได้สรุปประเด็นที่น่าสนใจจากการพูดคุยในรายการ และนำเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการเป็นรัฐบาลเปิดของประเทศไทยจากความสำเร็จของประเทศเอสโตเนีย ดังนี้
สำรวจประเทศเอสโตเนีย จิ๋วแต่แจ๋ว
อาจารย์ ดร.วศิน เริ่มต้นด้วยการพาไปทำความรู้จักกับประเทศเอสโตเนียผ่าน Google Map เพื่อให้เห็นตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ว่าเอสโตเนียเป็นประเทศเล็ก ๆ ในคาบสมุทรบอลติก (Baltic) แต่ถูกขนาบข้างด้วยประเทศใหญ่ ๆ เช่น ประเทศรัสเซีย ประเทศสวีเดน และประเทศฟินแลนด์ ซึ่งการอยู่ท่ามกลางประเทศใหญ่ ๆ เหล่านี้ กลายเป็นแรงผลักดันและแรงสนับสนุนให้เอสโตเนียเร่งพัฒนาตัวเองหลังจากประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต จนสามารถเข้ารวมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป รวมถึงองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ในที่สุด
โดยเหตุผลที่ทำให้เอสโตเนียได้รับการยอมรับจากประชาคมในระดับโลกว่าเป็นประเทศที่จิ๋วแต่แจ๋ว คือการพัฒนาระบบเลือกตั้งทางออนไลน์ตั้งแต่ปี 2007 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดยบทพิสูจน์ประสิทธิภาพของระบบการเลือกตั้งทางออนไลน์ คือจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับชาติ รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรป ซึ่งความสำเร็จนี้มาจากการที่รัฐบาลลงทุนด้านดิจิทัลอย่างมาก และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในหลายภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดความมั่นคง และปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง
ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ประเทศเอสโตเนียก้าวกระโดดสู่ประเทศที่นำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง “รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government)” และพัฒนาสู่การเป็น “รัฐบาลแบบเปิด (Open Government)” จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นรัฐดิจิทัล (Digital State) และระบบรัฐบาลเปิดที่ก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
แต่ก่อนจะพาไปเจาะลึกกับความสำเร็จของประเทศเอสโตเนีย อาจารย์ ดร.วศิน ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง “รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government)” ว่าเป็นการพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการสาธารณะผ่านช่องทางออนไลน์ ในขณะที่ “รัฐบาลแบบเปิด (Open Government)” เป็นความพยายามที่จะให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมคิด หาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้การจัดบริการสาธารณะตอบโจทย์ประชาชน
โดยที่เอสโตเนียใช้เครื่องมือ คือ “เทคโนโลยีดิจิทัล” เชื่อมร้อยให้ทั้ง 2 เรื่องนี้ไปด้วยกันได้ ด้วยการเริ่มต้นพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุม ตั้งแต่การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ การยื่นภาษีออนไลน์ การจัดการระบบการศึกษา และการใช้บริการสาธารณสุข หลังจากนั้นจึงมีการพัฒนารัฐบาลแบบเปิด เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ข้อมูลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การให้บริการที่รวดเร็วและโปร่งใส
เอสโตเนียวางอิฐก้อนแรกด้วย e- Governance
อาจารย์ ดร.วศิน ได้พาย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นในการวางอิฐก้อนแรกของ “รัฐบาล” และ “ประชาชน” ในประเทศว่าทำอย่างไรจึงพลิกประเทศจากความคลุมเครือกับระบบปิดที่ยาวนานสู่ความโปร่งใสอย่างมีส่วนร่วม โดยอิฐก้อนแรกของประเทศเอสโตเนียถูกวางในปี 1993 หลังจากประเทศได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 โดยวางหมุดหมายว่าจะพัฒนาประเทศไปสู่สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปัจจุบันเราเรียกว่าสังคมดิจิทัล) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในอนาคต
ทั้งนี้ อาจารย์ได้สรุปปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการเร่งรัดพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเอสโตเนียว่ามาจากการที่ประเทศเอสโตเนียสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ทำให้เข้าถึงทรัพยากรทั้งความรู้ Know How และเงินมาใช้พัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากภาคธุรกิจที่เข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากประเทศฟินแลนด์ และสวีเดนจนเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสู่เอสโตเนีย
แรงหนุนดังกล่าวส่งผลให้ในช่วงปลาย ค.ศ. 1990 ประเทศเอสโตเนียเริ่มมีการวางระบบอิเล็กทรอนิกส์ในโรงเรียนทั่วประเทศ (โครงการ Tiger Leap) นับว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างคนที่มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันคนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีในภาครัฐ
ส่งผลให้ในช่วงต้น ค.ศ. 2000 เอสโตเนียสามารถวางโครงสร้างทางกฎหมายที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างครอบคลุม และมีนโยบายที่ส่งเสริมการใช้งานและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน รวมถึงการสร้างระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่เปลี่ยนมาใช้ Digital ID หรือบัตรประชาชนแบบบัตรสมาร์ตการ์ดในการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐทั้งหมด
ถึงคราวก้าวกระโดด จาก e-Gov สู่ Open Government
อิฐก้อนที่สองถูกวางอย่างต่อเนื่องในปี ค.ศ. 2011 ที่ประเทศเอสโตเนียเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Open Government Partnership ซึ่งเป็นการนำเอาความเชี่ยวชาญเรื่อง e-Government โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ และความได้เปรียบในการมีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ดี มีความปลอดภัย เข้าถึงง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้บริการ (User Friendly) มาขยายผลสู่การพัฒนารัฐบาลแบบเปิด (Open Government) ทำให้ประเทศเอสโตเนียมีผลงานค่อนข้างดีในเรื่อง Open Data และ Open Government ยกตัวอย่างจากคะแนนที่เอสโตเนียได้รับจากดัชนี Open Data Maturity หรือการประเมินความพร้อมด้านดิจิทัลในการใช้ประโยชน์จากข้อมูล อยู่ในระดับกลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำในด้านนี้ (Trend Setter)
นอกจากนี้ อาจารย์ ดร.วศิน ได้สรุปบทเรียน 4 ข้อ ที่ทำให้เอสโตเนียสามารถพัฒนารัฐบาลแบบเปิด (Open Government) ได้อย่างก้าวกระโดด ได้แก่
- มีระบบที่เปิดกว้างและโอบรับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และผู้เล่นในระดับท้องถิ่น
- มีโครงสร้างของการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ ทำให้ขับเคลื่อนงานได้เร็วขึ้น
- มีภาครัฐที่โปร่งใสและเข้าถึงได้ โดยความโปร่งใสวัดได้จากคะแนน Corruption Perceptions Index ที่ในปี 2024 เอสโตเนียได้ 76 คะแนน อยู่ในอันดับ 13 ของโลก ในส่วนของการเข้าถึงได้ ประเมินจากการมีระบบการบริหารจัดการภาครัฐดิจิทัลและการเปิดเผยข้อมูลแบบ By Default
- มีการยึดโยงประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการทำงานในรูปแบบ Co-Production เพื่อร่วมออกแบบวิธีแก้ไขปัญหากับภาครัฐอย่างใกล้ชิด
ลงทุนกับกระบวนการเปิดเผยข้อมูลที่ SMART & STRONG
จากบทเรียนข้างต้น อาจารย์ ดร.วศิน ชี้ว่ากุญแจสำคัญของการพัฒนารัฐบาลแบบเปิด (Open Government) ของเอสโตเนีย คือการมีนโยบายเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบ By Default โดยข้อมูลในระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ ของภาครัฐจะถูกทำให้เป็นดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน (Strong) และส่งเสริมให้ภาครัฐต้องใช้ประโยชน์จากการเปิดเผยข้อมูล ด้วยการสร้างระบบให้ประชาชนเข้าไปนำเสนอสิ่งที่ต้องการ (Smart)
ยกตัวอย่างโครงการ Rahvaalgatus เป็นระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ประชาชนนำเสนอข้อเรียกร้องไปสู่รัฐสภา (กฎหมายกำหนดไว้ที่ 1,000 รายชื่อ) และรัฐสภาจะต้องเอาประเด็นนั้นไปอภิปราย อีกโครงการที่น่าสนใจ คือ My Local Government เป็นแดชบอร์ดที่เปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานของเทศบาลแต่ละแห่ง และมีการจัดอันดับผลคะแนนเพื่อให้ประชาชนประเมินผลงานของเทศบาลได้ ซึ่งอาจารย์ ดร.วศิน ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นทั้งเสน่ห์ และความท้าทายในการทำ Open Government เพราะเมื่อข้อมูลถูกเปิด และนำมาใช้ประเมินผล ย่อมทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างเทศบาลในการปรับปรุงบริการสาธารณะให้ดีด้วย
จากบริบทของประเทศเอสโตเนียในอดีต อาจกล่าวได้ว่า การที่เอสโตเนียเร่งพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และสร้างความโปร่งใสของภาครัฐ เพราะต้องการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป จึงต้องเร่งพัฒนาประเทศให้ได้ตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป ประกอบกับต้องการสลัดภาพของการเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต จึงได้สร้างระบบราชการสมัยใหม่ด้วยการเปลี่ยนจากระบบปิดเป็นระบบเปิด ส่งผลให้เกิดการหล่อหลอมวัฒนธรรมที่ภาครัฐจะต้องมีความเปิดกว้าง โปร่งใส เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน
ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐเองจึงถูกกระตุ้นให้พัฒนามาตรการ องค์กร กฎหมายที่สนับสนุนการเปิดข้อมูลภาครัฐ และพัฒนาทักษะให้แก่กลุ่มข้าราชการ นักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญ นำนโยบายเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติจริง
บูส Open Governance ของไทย ให้ไปได้ไกลอย่างเอสโตเนีย
อาจารย์ ดร.วศิน ได้เสนอแนวทางที่ได้จากความสำเร็จของเอสโตเนีย 3 เรื่อง ดังนี้
- สร้างสะพานเชื่อมระบบกับคนให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเริ่มจากการสร้างช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ออกแบบระบบที่ตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น และมีแนวทางที่กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งสังคมอย่างต่อเนื่อง
- ปรับมุมมองต่อข้อมูลเปิด ว่าเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าในการพัฒนาภาครัฐ ดังนั้น รัฐควรเปิดให้ประชาชนที่มี Know How ได้มีส่วนร่วมพัฒนาระบบ และร่วมออกแบบ Ecosystem ของรัฐบาลเปิดของประเทศไทยเพื่อขยายขอบเขตการใช้งานข้อมูลที่ตอบโจทย์ประชาชน
- สร้างทักษะความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน เพราะการพัฒนารัฐบาลแบบเปิด (Open Government) ในระยะยาวต้องอาศัยประชาชนเข้ามาใช้งานระบบและให้ข้อมูล ดังนั้น รัฐต้องเริ่มจากการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อให้ประชาชนมั่นใจที่จะส่งข้อมูลมาที่รัฐ และต้องกำหนดให้มีการนำข้อมูลที่ได้จากประชาชนมาพัฒนาต่อยอดเป็นบริการสาธารณะต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วย
สุดท้าย อาจารย์ ดร.วศิน ทิ้งท้ายไว้ว่า แม้ประเทศเอสโตเนียจะประสบความสำเร็จในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และรัฐบาลแบบเปิด แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในสังคม โดยสรุปเป็นโจทย์ใหญ่ได้ 3 ข้อ ดังนี้
- ต้องกระตุ้นให้เกิด Open Society ควบคู่ไปกับ Open Government เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้ามาให้ข้อมูลในระบบ และทำให้ข้อมูลเปิดถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
- ต้องส่งเสริมความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและสื่อในการเป็นกระบอกเสียง เพื่อให้ Open Government ยังอยู่ในความสนใจของสังคม
- ต้องจัดการกับข้อมูลเท็จที่จงใจเผยแพร่เพื่อหลอกลวงและสร้างความเข้าใจผิด (Disinformation) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรับได้รับข้อมูลของประชาชน ทั้งนี้ ต้องมีแนวทางการคัดกรองข้อมูลที่ไม่เข้าข่ายการควบคุม หรือจำกัดการแสดงออก หรือการเข้าถึงข้อมูลบางอย่าง (Censorship)
ซึ่งโจทย์ทั้ง 3 ข้อ นี้ต้องอาศัยการขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กันทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดระบบนิเวศของการเป็นรัฐบาลแบบเปิด (Open Government Ecosystem) ที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
เรียบเรียงโดย สุภัจจา อังค์สุวรรณ
นักวิจัยอาวุโส ศูนย์ KRAC
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data
Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน
ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ
เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”