KRAC Insights I คอร์รัปชัน: อาชญากรรมข้ามชาติที่สั่นคลอนโลก

ปัญหาคอร์รัปชันถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอาชญากรรมข้ามชาติ

เนื่องจากการคอร์รัปชันไม่ใช่เพียงปัญหาในระดับท้องถิ่น แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ อีกทั้งยังเอื้อหรือส่งเสริมต่อการก่ออาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ

KRAC Corruption เชิญชวนทุกคนมาร่วมกันทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ปัญหาคอร์รัปชันถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมข้ามชาติ ผ่านการบรรยายพิเศษโดย คุณณิชาณี วงศ์บา เจ้าหน้าที่โครงการจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ในรายวิชา 2952336 Economics of Anti-corruption คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในการบรรยายครั้งนี้ คุณณิชาณี ได้พูดถึง 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. คอร์รัปชันในฐานะอาชญากรรมข้ามชาติ
  2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคอร์รัปชัน
  3. กรอบกฎหมายและนโยบายระหว่างประเทศในการต่อต้านคอร์รัปชัน
  4. บทบาทของ UNODC ในการสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ต่อต้านคอร์รัปชัน

ทำไมถึงจัดให้ปัญหาคอร์รัปชันเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ

คุณณิชาณีเริ่มต้นการบรรยายด้วยการนำเสนอนิยามหรือคำจำกัดความของคำว่า ‘คอร์รัปชัน’ จากหลายแหล่งข้อมูล โดยเน้นย้ำไปถึงนิยามที่ทาง UNODC ได้ให้ไว้ว่า คอร์รัปชันคือปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อนครอบคลุม การเมือง และเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ อีกทั้ง ยังบ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตย ชะลอการพัฒนาเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในการปกครองประเทศ

คุณณิชาณีได้อธิบายเพิ่มเติมว่าความหมายของคอร์รัปชันนั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ในระดับสากลนั้น คอร์รัปชันหมายถึงการที่ผู้มีอำนาจใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่ในขณะเดียวกันในระดับภายในประเทศเอง นิยามของคอร์รัปชันอาจครอบคลุมถึงการกระทำของทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้มีอำนาจ เช่น การทุจริตในการสอบ

ดังนั้น เพื่อให้ความเข้าใจในระดับสากลและระดับประเทศสอดคล้องกัน คุณณิชาณี จึงแบ่งคอร์รัปชันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

  1. คอร์รัปชันขนาดเล็กน้อย (petty corruption) 
  2. คอร์รัปชันขนาดใหญ่ (grand corruption) 
  3. คอร์รัปชันในภาครัฐ
  4. คอร์รัปชันในภาคเอกชน (private sector corruption)

อีกทั้ง คุณณิชาณี ได้อธิบายแนวคิดเรื่อง อาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crime) โดยอ้างอิงคำจำกัดความของ UNODC ซึ่งระบุว่าเป็นอาชญากรรมที่มีผลกระทบหรือสร้างผลกระทบข้ามพรมแดน อาชญากรรมลักษณะนี้มีการจัดตั้งเป็นระบบ โครงสร้างที่ชัดเจน และดำเนินการโดยเครือข่ายที่ปฏิบัติการข้ามพรมแดน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย


อาชญากรรมข้ามชาติมีความเกี่ยวข้องและยึดโยงกับประเทศมากกว่าหนึ่งประเทศ ทั้งในด้านการวางแผน การดำเนินการ และผลกระทบ ทำให้การป้องกันและการดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติจึงเป็นเรื่องยาก ซึ่งเห็นได้ชัดในกรณีคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ การลักลอบค้ายาเสพติด การลักลอบค้าอาวุธ และการฟอกเงินข้ามชาติ

 

ดังนั้น คอร์รัปชันจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมผิดกฎหมายข้ามพรมแดน อีกทั้ง คอร์รัปชันได้อำนวยความสะดวกให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติประเภทอื่น ๆ และคอร์รัปชันเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรมระดับโลก

คอร์รัปชันสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ

คุณณิชาณีได้บรรยายถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการคอร์รัปชัน โดยชี้ให้เห็นทั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการคอร์รัปชัน

 

ผลกระทบโดยตรง ได้แก่ การลดลงของการลงทุนของภาคธุรกิจเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรือการจัดสรรทรัพยากรไปในทางที่ผิด เนื่องจากมีการคอร์รัปชันในโครงการภาครัฐทำให้ต้นทุนของประชาชนในการใช้บริการสาธารณะสูงขึ้น

อีกทั้ง คอร์รัปชันยังก่อให้เกิดผลเสียทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ การบิดเบือนกลไกตลาดโดยเอื้อประโยชน์แก่บริษัทที่ไร้ประสิทธิภาพ การบั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนต่อภาครัฐจนทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษี และทำให้โครงการภาครัฐลดลง หรือขาดความต่อเนื่อง เพราะงบประมาณต้องถูกใช้ไปกับการแก้ไขปัญหาทุจริตแทนการพัฒนาบริการสาธารณะ

ในประเด็นผลกระทบต่อการค้าและการเงินระหว่างประเทศ คุณณิชาณีได้เน้นย้ำว่า คอร์รัปชันมีบทบาทสำคัญในการเอื้อให้เกิดการฟอกเงินและการไหลออกของเงินทุนผิดกฎหมาย ส่งผลให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรและงบประมาณที่จำเป็นต่อการพัฒนา อีกทั้งยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐและก่อให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง

กรอบกฎหมายและนโยบายระหว่างประเทศทำงานอย่างไรในการต่อต้านคอร์รัปชัน

คอร์รัปชันถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญ และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา

 

โดยคุณณิชาณีได้ยกตัวอย่างกรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด คือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อปี ค.ศ. 2003 และมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2005 ปัจจุบันมีประเทศภาคี 191 ประเทศ ทำให้ UNCAC เป็นอนุสัญญาระดับโลกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพียงฉบับเดียวที่มุ่งเน้นการต่อต้านคอร์รัปชันโดยเฉพาะ

จำนวนประเทศภาคีที่ร่วมลงนามใน UNCAC มีมากถึง 191 ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน และตอกย้ำบทบาทสำคัญของ UNCAC ที่มีหน้าที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16

 

โดย UNCAC ถูกออกแบบมาให้ครอบคลุม เป็นกลาง โปร่งใส และเน้นความร่วมมือ เพื่อช่วยให้รัฐภาคีสามารถร่วมมือกันต่อสู้กับการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ UNCAC จะไม่ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “คอร์รัปชัน” โดยตรง แต่ได้ระบุคอร์รัปชันในฐานะความผิดที่ต้องบัญญัติเป็นกฎหมายภายในประเทศ เช่น การติดสินบนและการยักยอก

อีกทั้ง คุณณิชาณีได้ยกตัวอย่างกรอบกฎหมายระหว่างประเทศในการต่อต้านคอร์รัปชันเพิ่มเติม เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบน (OECD Anti- Bribery Convention) อนุสัญญานี้ได้รับการรับรองในปี ค.ศ. 1997 โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development : OECD) เป็นกรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งมุ่งเน้นการต่อต้านการติดสินบนในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ
.
โดยเมื่อเปรียบเทียบอนุสัญญา OECD กับ UNCAC ในส่วนของขอบเขตและหน้าที่นั้น UNCAC มีขอบเขตหน้าที่กว้างกว่าอนุสัญญา OECF โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงการป้องกันการคอร์รัปชัน การบัญญัติความผิดทางอาญา การติดตามทรัพย์สินคืน และความร่วมมือระหว่างประเทศ ส่วนอนุสัญญา OECD จะมีขอบเขตหน้าที่ที่แคบกว่าและมุ่งเน้นเฉพาะเรื่องการติดสินบนในธุรกิจระหว่างประเทศเป็นหลัก อีกทั้ง คณะทำงานของ OECD ยังคงผลักดันให้มีความมุ่งมั่นทางการเมืองและการจัดสรรทรัพยากรที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างการบังคับใช้และขยายผลของอนุสัญญาให้ครอบคลุมทั่วโลก

คุณณิชาณียังกล่าวถึงกรอบกฎหมายระดับภูมิภาคเพิ่มเติม ได้แก่ อนุสัญญาสหภาพแอฟริกาว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านการทุจริต (African Union Convention on Preventing and Combating Corruption) กลุ่มรัฐภาคีต่อต้านคอร์รัปชันของสภายุโรป (Council of Europe’s Group of States Against Corruption : GRECO) และ อนุสัญญาต่อต้านคอร์รัปชันระหว่างอเมริกา (Inter-American Convention Against Corruption : IACAC) โดยกรอบกฎหมายเหล่านี้ เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ให้แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันตามบริบทเฉพาะของแต่ละภูมิภาค

นอกจากนี้ คุณณิชาณีได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายหลักในการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันในระดับนานาชาติ ได้แก่ การขาดเจตจำนงทางการเมืองร่วมกันระหว่างประเทศ ความสามารถของสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจจำกัด ความซับซ้อนของเครือข่ายการทุจริตข้ามพรมแดน และข้อจำกัดในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากมาตรฐานทางกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ รวมถึงระบบข้อมูลที่ไม่ทันสมัย

บทบาทและหน้าที่ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC)

ในช่วงท้ายของการบรรยาย คุณณิชาณีได้เน้นย้ำบทบาทสำคัญขององค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ UNODC ในการขับเคลื่อนการต่อต้านการคอร์รัปชันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ โดย UNODC ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ในการนำกรอบอนุสัญญา UNCAC มาปฏิบัติใช้ผ่านกิจกรรมและความร่วมมือหลากหลายรูปแบบ

UNODC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการต่อต้านการคอร์รัปชันแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านการเผยแพร่เอกสารและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติในหลากหลายประเด็น และ UNODC ได้จัดการประชุมและการอบรมเชิงปฏิบัติการในระดับภูมิภาค เพื่อสำรวจและทบทวนช่องว่างของกลไกทางกฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชัน รวมถึงการบูรณาการมิติด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ โดยเชื่อมโยงปัญหาคอร์รัปชันกับประเด็นสำคัญ เช่น การค้ามนุษย์

นอกจากนี้ UNODC ยังสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและข้อมูล (รวมถึง AI) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและติดตามพฤติกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริต ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน เพื่อพัฒนาและสร้างผู้นำรุ่นใหม่ในด้านการต่อต้านการคอร์รัปชัน

อีกทั้ง คุณณิชาณียังกล่าวถึงบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยยกตัวอย่างธนาคารโลก (World Bank) ที่มีส่วนร่วมในโครงการ Stolen Asset Recovery Initiative เพื่อส่งเสริมมาตรการต่อต้านการคอร์รัปชันในโครงการพัฒนาระหว่างประเทศ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ที่ให้คำปรึกษาด้านนโยบาย ความช่วยเหลือทางการเงิน และการพัฒนาขีดความสามารถ เพื่อเสริมสร้างกรอบการทำงานด้านการต่อต้านการคอร์รัปชันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในส่วนท้ายของการบรรยาย คุณณิชาณี ได้ย้ำถึงบทบาทของ UNODC ที่ได้มุ่งเน้นการทำงานที่อ้างอิงข้อมูลเชิงประจักษ์และการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการหลายภาคส่วน ทั้งสถาบันภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา รวมทั้งการเชื่อมโยงการต่อต้านคอร์รัปชันกับประเด็นอื่น ๆ เช่น การค้ามนุษย์และความโปร่งใสของผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (Beneficial Ownership)

 

และยังสนับสนุนการจัดทำยุทธศาสตร์ต่อต้านคอร์รัปชันระดับชาติ การปฏิรูปกฎหมายและกลไกการปฏิบัติ และการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐผ่านการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการในระดับภูมิภาค

การบรรยายสาธารณะนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา 2952336 Economics of Anti-corruption ดำเนินการเรียนการสอนโดย  รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มุ่งเน้นศึกษาหลักเศรษฐศาสตร์เพื่อตีความและวิเคราะห์ปัญหาคอร์รัปชันในมิติกฎหมายและนโยบายสาธารณะ ทำความเข้าใจกลไก แรงจูงใจ และผลกระทบทางเศรษฐกิจของการทุจริต พร้อมสำรวจแนวทางเชิงเศรษฐศาสตร์ในการออกแบบมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศรันย์ชนก ลิมวิสิฐธนกร

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data

Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ

เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”

You might also like...

KRAC Infographic | ก่อสร้างโกงอย่างไร? สำรวจวิธีโกง ตั้งเเต่ “ก่อ” จน “สร้าง”

KRAC ชวนทำความเข้าใจ “รูปแบบการทุจริตในภาคการก่อสร้าง” ภาคก่อสร้างโกงกันแบบไหน? โครงสร้างอำนาจ-ผู้รับเหมาหน้าเดิม-งบแฝงทำงานอย่างไร?

KRAC Insights I บทเรียนจากอาเซียนว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในยุคดิจิทัล

สรุปบทเรียนจากอาเซียนเกี่ยวกับความโปร่งใสในระบบจัดซื้อจัดจ้างรัฐยุคดิจิทัล พร้อมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญไทย–ฟิลิปปินส์–อินโดนีเซีย–มาเลเซีย ที่ชี้ว่าความโปร่งใสคือหัวใจของการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างได้ผล