KRAC Insights I จุดเปลี่ยนของการต่อต้านคอร์รัปชัน: จากนโยบายสู่พลังทางสังคม

การต่อต้านคอร์รัปชันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “นโยบายรัฐ” หรือ “องค์กรกำกับดูแล” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “พลังทางสังคม” (Social Power) ที่ขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะจาก “คนรุ่นใหม่”

 
ซึ่งกำลังลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกันในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือชุมชน
 
เวทีเสวนาหัวข้อ “พลังคนรุ่นใหม่และการศึกษาในภารกิจต่อต้านคอร์รัปชัน” เป็นหนึ่งในช่วงสำคัญของงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านนวัตกรรมในการต่อต้านคอร์รัปชันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 3 ที่รวบรวมแนวคิดจากนักขับเคลื่อนรุ่นใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย และผู้นำทางสังคมจากหลายประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า “การต่อต้านคอร์รัปชัน” ไม่จำเป็นต้องรอจากเบื้องบน แต่สามารถเริ่มต้นจากพลังของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนที่เป็นผู้กำหนดอนาคตของประเทศ
 
ภายในเวทีนี้ มีวิทยากรจากหลากหลายภาคส่วนที่ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางและประสบการณ์จริง ได้แก่ Dexter Yang ตัวแทนจาก UNODC YouthLED ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นรต.สรัช จุลคง นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 4 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ Ms. May Fan จากองค์กรอิสระเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน หรือ ICAC และผศ.ดร.พีรพัฒน์ โชคสุวัฒนสกุล จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

🙋🏻‍♀️ เยาวชนในแนวหน้าการต่อต้านคอร์รัปชัน

Dexter Yang ตัวแทนจาก UNODC YouthLED ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ YouthLED (Youth for Leadership, Engagement, and Development) ที่ได้รับการผลักดันโดย UNODC (สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ) ว่าอยู่ที่ “การสร้างเครือข่ายเยาวชนระดับภูมิภาค” เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีบทบาทในการออกแบบกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชันด้วยตนเอง ทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน โดยเน้นให้เยาวชนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงผู้เข้าร่วม

 
ตัวอย่างหนึ่งของกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมคือ Youth Integrity Camps ซึ่งเป็นค่ายพัฒนาศักยภาพที่ใช้ “การเรียนรู้เชิงประสบการณ์” (experiential learning) เป็นเครื่องมือหลัก ผ่านกระบวนการลงมือทำจริง การจำลองสถานการณ์ การอภิปรายอย่างเปิดเผย และการสร้างเครือข่ายข้ามพรมแดน เพื่อให้เยาวชนเข้าใจการคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้พวกเขาในการเป็นผู้นำแห่งความโปร่งใสในระดับท้องถิ่น
 
สิ่งที่ YouthLED ทำไม่ได้หยุดอยู่ที่การจัดกิจกรรมเพื่อเยาวชน แต่คือการเปลี่ยนบทบาทของเยาวชนจาก “ผู้ฟัง” ไปสู่ “ผู้นำร่วม” ในการกำหนดแนวทางต่อต้านการทุจริตในระดับนโยบาย โครงสร้างของ YouthLED แบ่งการมีส่วนร่วมออกเป็นสองมิติหลัก คือ Advisory Role และ Implementation Role ในบทบาทแรก เยาวชนทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานรัฐและองค์กรระหว่างประเทศเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และแนวปฏิบัติที่ดีในการต่อต้านคอร์รัปชัน
 
ส่วนบทบาทที่สองคือ การเป็น “ผู้ลงมือทำ” ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบไปจนถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์ในระดับภูมิภาค นี่คือการสร้างระบบที่ให้เยาวชนไม่ใช่แค่ถูกเชิญเข้ามาในวง แต่มีอำนาจเสียงและสิทธิ์ในการตัดสินใจอย่างแท้จริง
 
YouthLED ยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมผ่านสามเสาหลักคือ การเป็นตัวแทนของเยาวชน (Youth Representation), การพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) และ การสร้างเครื่องมือและนโยบาย (Tools & Policy) ผลลัพธ์ของกระบวนการเหล่านี้คือ การขยายพื้นที่ให้เยาวชนสามารถเสนอแนวคิดต่อต้านการโกงอย่างสร้างสรรค์ และผลักดันให้แนวคิดเหล่านั้นกลายเป็นนโยบายได้จริง เช่น การจัดทำคู่มือ Taking Action Against Corruption: A Step-by-Step Guide by Youth for Youth ซึ่งเป็นเครื่องมือสอนให้เยาวชนทั่วโลกเข้าใจวิธีต่อสู้กับการทุจริตอย่างเป็นระบบ หรือแนวทาง Policy Guide for National Anti-Corruption Authorities ที่เปิดโอกาสให้ภาครัฐเรียนรู้วิธีทำงานร่วมกับเยาวชนอย่างมีความหมาย
 
หนึ่งในเวทีที่สะท้อนพลังของเครือข่ายนี้คือ COSP 10 การประชุมภาคีรัฐสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) ที่จัดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่ง YouthLED ได้จัดกิจกรรมพิเศษในชื่อ “Young Changemakers” เปิดโอกาสให้เยาวชนจากหลายประเทศขึ้นเวทีระดับโลก เพื่อเสนอแถลงการณ์เยาวชน (Youth Statement) ต่อที่ประชุมใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการประชุม UNCAC
 
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ คือ รูปแบบการเรียนรู้และการทำงานแบบ “เพื่อนสอนเพื่อน” หรือ peer-learning ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนแต่ละประเทศได้ถ่ายทอดแนวทางการรณรงค์ที่เหมาะกับบริบทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ศิลปะ ดนตรี เทคโนโลยี หรือกิจกรรมอาสาสมัครมาขับเคลื่อนประเด็นความซื่อสัตย์ในชุมชน การต่อต้านคอร์รัปชันจึงไม่ถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตของห้องประชุมหรือเอกสารเชิงกฎหมาย แต่กลายเป็นวัฒนธรรมของการมีส่วนร่วมในชีวิตจริง
 
เมื่อมองไปข้างหน้า เส้นทางของเครือข่ายนี้ยังไม่หยุดอยู่ที่การประชุม COSP10 เพราะ YouthLED ได้เริ่มเตรียม “Road to COSP11” ซึ่งเป็นกระบวนการปรึกษาหารือเยาวชนในระดับภูมิภาค เพื่อรวบรวมเสียงและข้อเสนอจากทั่วโลกไปสู่การประชุมใหญ่อีกครั้งในเดือนธันวาคมปีหน้า บทบาทของเยาวชนจึงไม่ได้สิ้นสุดหลังเวที แต่เริ่มต้นขึ้นจากมัน
 
หากมองจากมุมหนึ่ง สิ่งที่ YouthLED กำลังทำคือการสร้าง “การเมืองแบบซื่อสัตย์” ที่ไม่ต้องรอให้เข้าสู่ระบบราชการหรือการเลือกตั้ง พวกเขากำลังทำให้ “ความโปร่งใส” กลายเป็นเรื่องของทุกคนในชีวิตประจำวัน ผ่านการสื่อสาร การรณรงค์ และการร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ การต่อต้านคอร์รัปชันในโลกยุคใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของหน่วยงาน แต่เป็นเรื่องของ “เครือข่ายพลเมืองที่เชื่อว่าความซื่อสัตย์คือพลัง”

👮🏻‍♂️ จากวินัยสู่การปลูกฝังความซื่อสัตย์ในโรงเรียนตำรวจ

นรต.สรัช จุลคง นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 4 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้สะท้อนบทเรียนจากการเรียนรู้ภายในสถาบันตำรวจไทยว่า โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่ได้เพียงสร้างคนให้มีความรู้ทางกฎหมายหรือยุทธวิธีเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังวินัย ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกแห่งคุณธรรมตั้งแต่วันแรกที่สวมเครื่องแบบ เขาอธิบายว่า “ความซื่อสัตย์ไม่ใช่คำพูดสวยหรูในตำรา แต่คือการเป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง”
 
เขาได้แบ่ง “มิติของความซื่อสัตย์ในวิชาชีพตำรวจ” ออกเป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ความเชื่อมั่นจากประชาชน (Public Trust) ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจในทางปฏิบัติ แต่พลังนั้นจะมีความหมายได้ก็ต่อเมื่อประชาชนเชื่อมั่นว่าตำรวจจะใช้อำนาจนั้นอย่างเป็นธรรม การเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด (Lawfulness) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรม ปราศจากอคติและคอร์รัปชัน คือ หัวใจของความยุติธรรม
 
ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) ความซื่อสัตย์ช่วยยกระดับศักดิ์ศรีและภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจให้เป็นที่เคารพ การป้องกันการประพฤติผิด (Prevention of Misconduct) เมื่อมีวินัยและจิตสำนึกที่มั่นคง ก็จะลดโอกาสในการใช้อำนาจในทางมิชอบ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส
 
และยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เกียรติ” (Honor) ในบริบทของตำรวจ มิได้หมายถึงเพียงชื่อเสียงหรือเกียรติที่มองเห็นได้จากภายนอก หากแต่เป็นคุณค่าภายในที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญสี่ประการ ได้แก่
  1. ความยุติธรรม (Justice) ที่มุ่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและยึดมั่นในหลักนิติธรรม
  2. ความกล้าหาญ (Courage) ที่หมายถึงความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงและทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
  3. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Compassion) ที่สะท้อนความมีมนุษยธรรม เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
  4. ความซื่อสัตย์ (Honesty) ที่เป็นรากฐานของความไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่หลอกลวงหรือเอาเปรียบผู้อื่น
ระบบเกียรติยศนี้ มีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังคุณลักษณะความเป็นผู้นำ (Leadership Qualities) ผ่านการฝึกฝนวินัย การใช้ชีวิตในระบบรุ่นพี่-รุ่นน้อง การเรียนรู้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และการยึดมั่นในหลักเกณฑ์ของสถาบัน
 
ทั้งนี้ ผู้นำที่ดีในแนวคิดของระบบเกียรติยศจะต้องมีคุณลักษณะสำคัญหกประการ ได้แก่
  1. ความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา (Integrity and Straightforwardness)
  2. ความยุติธรรมและความเป็นกลาง (Justice and Fairness)
  3. ความจริงใจและความถูกต้องชอบธรรม (Honesty and Righteousness)
  4. ความกล้าหาญ (Courage)
  5. ปัญญาและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (Intelligence) และ
  6. ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Resourcefulness)
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหัวใจของการสร้าง “ผู้นำแห่งคุณธรรม” ที่พร้อมอุทิศตนเพื่อสังคมด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณของความดีงาม

🇭🇰 มองกลยุทธ์ของฮ่องกงในการปลูกฝังค่านิยมการต้านคอร์รัปชัน

Ms. May Fan จากองค์กรอิสระเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน หรือ ICAC ได้ถ่ายทอดแนวคิดสำคัญผ่านหัวข้อ “Empowering Youth for Integrity” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักของฮ่องกงในการเสริมสร้างพลังคนรุ่นใหม่ให้เป็น “พลเมืองต้านคอร์รัปชัน” อย่างมีความหมายและยั่งยืน
 
ICAC มองว่า “รากฐานของสังคมที่โปร่งใส” ต้องเริ่มจากการปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัย เพราะค่านิยมของความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกต่อสังคม จะค่อย ๆ ฝังแน่นในตัวเด็กหากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม การศึกษาจึงไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้ แต่คือ กระบวนการสร้างพลเมืองที่มีคุณธรรมและภูมิคุ้มกันทางจริยธรรม
 
ทั้งนี้ ทำงานภายใต้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “The 3-Pronged Approach” ซึ่งประกอบด้วยสามแนวทางหลักที่เชื่อมโยงกันคือ
  1. Strong Law Enforcement (DARE NOT) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อทำให้ผู้คนไม่กล้าทุจริต
  2. Effective System Control (CANNOT) การสร้างระบบควบคุมที่รัดกุม โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้ไม่สามารถทุจริตได้ 
  3. Zero Tolerance Culture (WILL NOT) การปลูกฝังวัฒนธรรมไม่ยอมรับการทุจริตทุกรูปแบบจนกลายเป็นค่านิยมร่วมของสังคม

ซึ่งจากผลสำรวจ ICAC Annual Survey ปี 2024 พบว่า ฮ่องกงมี “ระดับความยอมรับต่อการทุจริต” ต่ำเพียง 0.3 จาก 10 คะแนน ซึ่งสะท้อนถึงการฝังรากของวัฒนธรรมความซื่อสัตย์ในสังคมอย่างแท้จริง

 
จะเห็นได้ว่าฮ่องกงไม่ได้มองเยาวชนเป็นเพียง “กลุ่มเป้าหมาย” หากแต่เป็น “พันธมิตร” ในภารกิจสร้างสังคมโปร่งใส ภายใต้ยุทธศาสตร์ Youth Integrity Education ICAC ที่วางแผนการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ผ่านแนวคิดง่าย ๆ ว่า “ความซื่อสัตย์ต้องเรียนรู้เหมือนทักษะชีวิต” เด็กเล็กเรียนรู้ผ่านนิทานและตัวการ์ตูน เด็กโตใช้เกมและกิจกรรมแบบมีส่วนร่วม ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะฝึกการคิดวิเคราะห์เชิงจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง ทุกระดับเชื่อมโยงกันด้วยเป้าหมายเดียว สร้างพลเมืองที่ไม่เพียง “รู้ว่าการโกงผิด” แต่ “ปฏิเสธมันได้อย่างมีเหตุผล”
 
นอกจากนี้ ICAC ยังสร้างพื้นที่ให้เยาวชนเป็นเจ้าของกิจกรรมของตนเอง เช่น โครงการ ICAC Kids Theatre สำหรับเด็กเล็ก, iJunior Program สำหรับประถม, Teen Leadership Program สำหรับมัธยม และ ICAC Ambassador Program สำหรับมหาวิทยาลัย แต่ละโครงการเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทดลองคิด ออกแบบ และลงมือทำกิจกรรมรณรงค์ต้านคอร์รัปชันด้วยตนเอง เพราะ ICAC เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจาก “ความรู้สึกมีส่วนร่วม” ไม่ใช่การถูกสั่งสอนจากผู้ใหญ่เพียงฝ่ายเดียว
 
เบื้องหลังแนวทางเหล่านี้ สะท้อนวิธีคิดที่ลึกซึ้งของสังคมฮ่องกงต่อเรื่องความซื่อสัตย์ พวกเขาไม่รอให้คนทำผิดแล้วค่อยลงโทษ แต่เลือกสร้างสังคมที่คนส่วนใหญ่ “ไม่เห็นด้วยกับการโกง” ตั้งแต่ต้น นี่คือการวางรากฐานทางวัฒนธรรมที่เหนียวแน่นกว่ากฎหมายใด ๆ เพราะมันเปลี่ยน “การต่อต้านคอร์รัปชัน” ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของคนรุ่นใหม่

🎓 มหาวิทยาลัยในฐานะพื้นที่ปลูกฝังแนวคิดการต่อต้านคอร์รัปชันของเยาวชน

ผศ.ดร.พีรพัฒน์ โชคสุวัฒนสกุล จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอแนวคิด “มหาวิทยาลัยคือห้องทดลองของความซื่อสัตย์” หรือ Integrity Lab พื้นที่ที่ให้นักศึกษานำความรู้ด้านกฎหมายและเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมโปร่งใส
 
หนึ่งในโครงการต้นแบบที่ได้รับการยกย่องคือ “Chula LegalTech” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีกฎหมายที่นักศึกษานิติศาสตร์จุฬาฯ ร่วมกันสร้างขึ้น เพื่อช่วยลดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การทุจริตในกระบวนการทางกฎหมาย โดยเฉพาะในขั้นตอนที่ภาคประชาชนและผู้ประกอบการต้องเผชิญกับกฎระเบียบซับซ้อน และดร.พีรพัฒน์ได้นำเสนอผลงานจริงจาก Chula LegalTech ใน 3 ตัวอย่าง ดังนี้
 
ประการแรก โครงการ “FactoLaw” ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วย เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องการสร้างโรงงาน แต่ไม่เข้าใจกฎหมายด้านโรงงานและสิ่งแวดล้อม
 
โดยระบุว่าเจ้าของกิจการจำนวนมากมัก “สร้างโรงงานโดยไม่ตรวจสอบข้อกฎหมายและข้อจำกัดด้านผังเมือง” ทำให้ถูกสั่งปิดโรงงานภายหลังซึ่งไม่เพียงส่งผลเสียทางเศรษฐกิจ แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการ “วิ่งเต้น” หรือ “จ่ายใต้โต๊ะ” เพื่อขออนุญาตย้อนหลัง
 
ประการที่สอง MuMana ที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดช่องว่างระหว่างลูกจ้างกับรัฐ และช่วยพิทักษ์สิทธิของผู้ใช้แรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ทีมผู้พัฒนาเริ่มจากการสำรวจ “Pain Point” ของแรงงานไทย พบว่าแรงงานส่วนใหญ่ ไม่รู้สิทธิของตนเองตามกฎหมายแรงงาน หรือแม้รู้ก็ “ไม่สามารถใช้สิทธินั้นได้จริง” เพราะกลัวผลกระทบจากนายจ้าง
 
MuMana จึงถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือ Labor Connect ที่รวมข้อมูลสิทธิแรงงาน สวัสดิการ และช่องทางร้องเรียนในแอปเดียวมีระบบให้คำปรึกษากฎหมายฟรี และเชื่อมต่อทนายความสร้างพื้นที่ให้แรงงานรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานอย่างถูกกฎหมายและผลที่ตามมาคือ แรงงานมี “ภูมิคุ้มกันทางกฎหมาย” มากขึ้น และลดการพึ่งพาคนกลางที่อาจเรียกรับผลประโยชน์
 
สุดท้ายอีกหนึ่งผลงานจากทีม DreamTeam ใน Chula LegalTech คือโครงการ ProperTax ซึ่งออกแบบระบบตรวจสอบการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยระบบนี้ใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่งและภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินจริงประเมินมูลค่าภาษีอย่างอัตโนมัติจัดทำฐานข้อมูลกลางที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
 
โดยในปัจจุบัน การประเมินภาษีมักขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดช่องทางทุจริต เช่น การตีมูลค่าต่ำกว่าความจริงเพื่อแลกผลประโยชน์ ProperTax จึงเข้ามา “ล้างระบบดุลยพินิจ” ด้วยข้อมูลจริงและอัลกอริทึมที่เปิดเผยผลลัพธ์คือ รัฐสามารถจัดเก็บรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และประชาชนมั่นใจในความยุติธรรมของกระบวนการภาษี
โดยสรุปเวทีเสวนาในครั้งนี้สะท้อนภาพให้เห้นถึงการเปลี่ยนผ่านของแนวคิดการต่อต้านคอร์รัปชันจากการพึ่งพานโยบายของรัฐมาสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังของสังคม โดยเฉพาะเยาวชนในฐานะ “ผู้นำร่วม” ที่ไม่เพียงแต่รับฟัง แต่ลงมือออกแบบ และสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
 
จะเห็นได้จากกรณีของ YouthLED ที่ผลักดันการมีส่วนร่วมของเยาวชนในเวทีระดับโลก ไปจนถึงการปลูกฝัง “วินัยและเกียรติยศ” ในระบบการศึกษาแบบตำรวจไทย ตัวอย่างจากฮ่องกง ที่บ่มเพาะวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย หรือตัวอย่างของมหาวิทยาลัยในไทยที่สร้างพื้นที่ทดลองทางแนวคิดผ่านนวัตกรรมเรื่องความโปร่งใส
 
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า “การต่อต้านคอร์รัปชัน” ที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากการสร้างค่านิยมทางจริยธรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงกฎหมายหรือการลงโทษ และการต่อต้านคอร์รัปชันในยุคใหม่ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของรัฐหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
 

แต่คือ “การสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์ร่วมกันของพลเมือง” ที่เชื่อว่าความซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่คุณธรรมส่วนบุคคล แต่คือพลังทางสังคมที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริง

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

เสฏฐวุฒิ เกตุเเก้ว

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data

Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ

เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”

You might also like...

KRAC Infographic | ชวนสำรวจงานวิจัยต้านโกงทั่วไทย หนุนพลังภาคประชาชน

KRAC ชวนสำรวจงานวิจัยไทยที่ศึกษาเรื่องการต้านโกงโดยภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ได้เเก่ น่าน เเม่ฮ่องสอน กรุงเทพฯ นครราชสีมา เเละสงขลา

KRAC Infographic | ก่อสร้างโกงอย่างไร? สำรวจวิธีโกง ตั้งเเต่ “ก่อ” จน “สร้าง”

KRAC ชวนทำความเข้าใจ “รูปแบบการทุจริตในภาคการก่อสร้าง” ภาคก่อสร้างโกงกันแบบไหน? โครงสร้างอำนาจ-ผู้รับเหมาหน้าเดิม-งบแฝงทำงานอย่างไร?

KRAC Insights I บทเรียนจากอาเซียนว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในยุคดิจิทัล

สรุปบทเรียนจากอาเซียนเกี่ยวกับความโปร่งใสในระบบจัดซื้อจัดจ้างรัฐยุคดิจิทัล พร้อมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญไทย–ฟิลิปปินส์–อินโดนีเซีย–มาเลเซีย ที่ชี้ว่าความโปร่งใสคือหัวใจของการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างได้ผล