“ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ
รัฐบาลมีหน้าที่จัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชากรที่มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียม แต่เพียงแค่การทุ่มงบประมาณอาจไม่สามารถจัดการปัญหาได้ซะทีเดียว
ในมุมมองทั่วไป เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเติบโต รัฐก็จะมีงบประมาณเพิ่มขึ้นและสามารถช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำได้มากขึ้น ตรรกะนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล และหลายคนอาจเชื่อว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว แต่ความเป็นจริงแล้วอาจไม่ใช่แบบนั้น !
งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการกระจายรายได้ของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง และความเกี่ยวข้องของดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาล” โดย เฉลิมชัย กิตติศักดิ์นาวิน และคณะ (2563) พบว่า การที่ประเทศมีความเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในประเทศเสมอไป ซ้ำยังอาจกลายเป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำในประเทศอีกด้วย
ในช่วงปี 2000–2017 หลายประเทศที่เคยมีรายได้ต่ำสามารถเติบโตขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้สำเร็จ
งานวิจัยนี้ทำการศึกษาโดยใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจาก 101 ประเทศที่มีรายได้ปานกลางทั่วโลก ในช่วงปี 2000–2017 ผ่านชุดข้อมูลแบบ Balance Panel Data โดยใช้ดัชนี Gini และสัดส่วนรายได้ของประชากรที่อยู่ในกลุ่มรายได้น้อยที่สุด 10% เป็นตัวชี้วัดหลักของความเหลื่อมล้ำทางรายได้
จากการศึกษาพบว่า ในช่วงปี 2000–2017 หลายประเทศที่เคยมีรายได้ต่ำสามารถเติบโตขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม บางรัฐบาลไม่สามารถใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นนั้นเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น การลงทุนในโครงการสาธารณะหรือสวัสดิการต่าง ๆ แม้จะตั้งใจช่วยเหลือประชาชน แต่กลับขาดการออกแบบที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง งบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปกับบริการที่คนจนไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งจากข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ความรู้ หรือเวลาในการเดินทาง ทำให้ประโยชน์ตกไปอยู่กับกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่แล้ว
แม้นโยบายบางส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นธรรม เช่น การให้สิทธิแบบครอบคลุมกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วกลับเอื้อให้กลุ่มที่มีศักยภาพหรือมีรายได้สูงเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้มากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษี การสนับสนุนการศึกษา หรือบริการสาธารณสุข สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดภาวะ “เหลื่อมล้ำซ้อน” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้โครงสร้างนโยบายที่ดูเหมือนเป็นธรรม
รัฐจะใช้งบประมาณมากแค่ไหนอาจไม่สำคัญเท่ากับรัฐใช้งบประมาณนั้นกับใครและใช้อย่างไร
งานวิจัยจึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐจะใช้งบประมาณมากแค่ไหนอาจไม่สำคัญเท่ากับรัฐใช้งบประมาณนั้นกับใครและใช้อย่างไร หรือก็คือ แม้รัฐมีรายได้เพิ่มแต่ใช้จ่ายอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็อาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้ และอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม
แนวทางแก้ไขจากงานวิจัยเสนอว่า รัฐควรเปลี่ยนวิธีคิดจากการใช้จ่ายแบบกระจายทั่วไป มาเป็นการใช้จ่ายแบบ “มุ่งเป้าหมาย” โดยต้องพุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรที่เปราะบางจริง ๆ เช่น ผู้มีรายได้น้อย คนว่างงาน หรือประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการขั้นพื้นฐาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักไม่มีทั้งข้อมูล ช่องทาง และเวลาที่เพียงพอในการเข้าถึงสิทธิที่ควรได้รับ การออกแบบนโยบายจึงต้องอิงจากข้อมูลเชิงลึกและการมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ เพื่อลดโอกาสของการตกหล่นจากระบบสวัสดิการ
หลักนิติธรรม (Rule of Law) บทบาทสำคัญของธรรมาภิบาลในการลดความเหลื่อมล้ำ
นอกจากนี้ งานวิจัยยังเน้นถึงบทบาทสำคัญของ “ธรรมาภิบาล” ในการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะ “หลักนิติธรรม” (Rule of Law) ที่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม หากระบบบริหารจัดการของรัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม จะช่วยให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างตรงจุดมากขึ้น ลดโอกาสของการรั่วไหลหรือการเลือกปฏิบัติทางนโยบาย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มักถูกมองข้าม
ในท้ายที่สุด งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ชวนให้มองแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือปริมาณงบประมาณที่รัฐใช้ไป แต่ชวนให้ตั้งคำถามใหม่ว่า “รัฐกำลังใช้งบประมาณกับใคร และใช้อย่างไร” เพื่อพัฒนาระบบให้กระจายทรัพยากรได้เท่าเทียมมากขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำอาจเป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งของงานวิจัยนี้เท่านั้น งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการกระจายรายได้ของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง และความเกี่ยวข้องของดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาล” โดย เฉลิมชัย กิตติศักดิ์นาวิน และคณะ (2563) ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปัจจัยที่มีผลต่อความเหลื่อมล้ำของประเทศ การใช้นิติธรรมแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
เฉลิมชัย กิตติศักดิ์นาวิน, โกสินทร์ เตชะนิยม, วุฒิชัย อารักษ์โพชฌงค์ และ วรพล พินิจ. (2563). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการกระจายรายได้ของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางและความเกี่ยวข้องของดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาล : การสร้างแนวทางลดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยตามหลักสากล. สถาบันพระปกเกล้า
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I ในสังคมที่มีความร่วมมือหรือความไว้เนื้อเชื่อใจกันสูง รัฐจะสร้างประโยชน์จากข้อค้นพบนี้อย่างไร ?
มุมมองของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐ หนึ่งกลุ่มจ่ายภาษี อีกกลุ่มเข้ามาทำหน้าที่พัฒนาบริการสาธารณะให้เกิดประโยชน์ แต่มีหลายครั้งที่โครงการไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น ศาลาสร้างทิ้งไว้ไม่มีคนใช้ จนบางครั้งประชาชนต้องลงแรงทำกันเอง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน