
ระบบการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างพลเมืองและพัฒนาประเทศชาติ แต่เมื่อรากฐานนั้นผุกร่อนด้วยการทุจริต คำถามที่เจ็บปวดที่สุดอาจไม่ใช่แค่ “เด็กขาดโอกาสทางการศึกษาขนาดไหน?” แต่รวมไปถึงคำถามว่า “เราสูญเสียครูดีไปมากแค่ไหนจากระบบกลืนไม่เข้า คายไม่ออก”
ครูไม่ใช่แค่คนสอน แต่กำลังเป็น “เหยื่อ” ของระบบ
ในขณะที่หลายคนเคยคิดว่า“ครูคือปัญหา” แต่วันนี้เราต้องยอมรับว่าครูจำนวนมากก็กลายเป็นเหยื่อของระบบที่กดทับ ซึ่งเกิดจากภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน กลไกการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพและระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ที่ทำให้ครูดีหมดแรง ครูที่ตั้งใจกลับไม่มีพื้นที่ให้หายใจ สถานการณ์เหล่านี้เป็น รากฐาน ที่บั่นทอนขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพการทำงานของครูโดยตรง
เช่นเดียวกับกรณีของ “ครูมัท”ที่เขียนจดหมายลาก่อนเสียชีวิต ทิ้งไว้ด้วยความเจ็บปวด ทั้งจากภาระงานที่สุมหัว ปัญหาการเงิน และการถูกกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน ซึ่งล้วนเป็นผลพวงโดยตรงจากการบริหารจัดการที่ผลักภาระและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้เธอโดดเดี่ยว เธอต้องอยู่กับงานการเงินที่ยุ่งยาก แก้ไม่ตก และโดดเดี่ยวในโครงสร้างที่ไม่มีใครรับฟัง ระบบ
ไม่ได้พังจากครู แต่พังเพราะครูดีๆ ถูกระบบกดดันจนทนไม่ไหว
การซื้อขายตำแหน่งครูผู้ช่วย
เมื่อ “มือปืนรับจ้างสอบ” ด้วยการใช้เงินแก้ปัญหาสามารถการันตีตำแหน่งครูได้ ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ นี่คือผลกระทบโดยตรงจากระบบที่ขาดความโปร่งใสและกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็งในการคัดเลือกบุคลากร ทำให้ครูที่ไม่มีเงินแต่มีจิตวิญญาณถูกกันออกจากระบบ ในขณะที่ครูที่ไม่มีคุณภาพแต่มีเงินกลับได้มาสอนเด็ก
โกงอาหารกลางวัน “ขนมจีนคลุกน้ำปลาในมื้อกลางวันของเด็กนักเรียน”
ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เด็กต้องกินขนมจีนคลุกน้ำปลาเพราะงบอาหารถูกหั่นเหลือไม่กี่บาทงบที่ควรดูแลสวัสดิภาพขั้นพื้นฐานของเด็ก กลับถูกโกงไปอย่างไม่ละอาย ซึ่งเกิดจากช่องโหว่เชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการภาระงานในระบบการศึกษาที่ทำให้ผู้มีอำนาจสามารถใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อเบียดบังงบประมาณที่ควรเป็นของเด็กนักเรียนได้อย่างง่ายดาย โดยขาดการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกและบุคลากรในโรงเรียน
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่บุคลากรถูกชี้มูลว่ากระทำทุจริตทั้งที่มิได้มีเจตนา เช่นเรื่องราวของ “ครูชัยยศ” ที่ถูกสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและปลดออกจากราชการ จากการเซ็นรับรองเอกสารอาหารกลางวันเป็นเท็จ ถึงอย่างนั้นครูชัยยศก็ยังคงอาสามาสอนที่โรงเรียนเหมือนเดิม โดยไม่ได้รับเงินเดือนและปรับลดชั่วโมงการสอนลงและอาศัยการเปิดร้านขายโรตีเพื่อหารายได้เลี้ยงตนเอง
แม้ไม่มีเจตนาทุจริตจากการลงนามในเอกสารอันเป็นเท็จ ทว่าภาระงานที่เกินกว่าขอบเขตการสอน โดยเฉพาะการเป็นกรรมการตรวจรับอาหารกลางวัน และความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รอบคอบ ได้ส่งผลให้ครูผู้นั้นต้องสูญเสียโอกาสทางหน้าที่การงานโดยไร้ซึ่งการเยียวยาใดๆ มิหนำซ้ำยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและขาดรายได้ ความกดดันที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนภาพอันน่าเศร้าของกรณี “ครูมัท” ผู้ที่ต้องลาจากโลกไปด้วยพิษของระบบการทำงานที่บีบบังคับในลักษณะเดียวกันครูต้องรับโทษจากงานที่ไม่เคยได้รับประโยชน์ ทั้งที่มิได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหาย
ปัญหานี้ตอกย้ำว่าระบบและนโยบายการศึกษาในปัจจุบันยังคงไม่สนับสนุนให้ครูสามารถมุ่งเน้นการสอนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนไปพร้อมกันได้ จนบางครั้งนำไปสู่การทำงานที่เกินขอบเขตความรับผิดชอบและกระทำผิดระเบียบโดยไม่ตั้งใจ
ครูหลอกเซ็นเอกสาร แอบถอนเงินออมเด็กกว่า 5 แสนบาท
ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ หลอกผู้ปกครองและนักเรียนให้เซ็นเอกสาร โดยอ้างว่าจะได้รับทุนการศึกษา แต่กลับนำเอกสารเหล่านั้นไปใช้เป็นหลักฐานในการถอนเงินออมของนักเรียนไปใช้ส่วนตัว มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 500,000 บาท เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาสำคัญด้านการกำกับดูแลที่หละหลวมและความเชื่อใจในบุคลากรทางการศึกษาที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนซึ่งมีความเชื่อใจครู ยินยอมเซ็นเอกสารโดยไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด กลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการฉ้อโกงได้อย่างง่ายดาย
ปัญหาเชิงระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังห้องเรียน การบริหารจัดการที่ผลักภาระงานธุรการซึ่งควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุน กลับโยนให้ครูเป็นผู้รับผิดชอบ ส่งผลให้ ครูต้องใช้เวลาไปกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเรียน และด้วยช่องโหว่จากภาระงานที่เป็นอยู่ จึงเป็นทั้งดาบสองคม มันเปิดโอกาสให้ครูที่ไร้คุณธรรมสามารถกระทำการทุจริต และในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ครูที่ดีอาจกระทำผิดระเบียบโดยไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้ว ล้วนนำไปสู่การที่นักเรียนเสียโอกาสจากระบบการศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ “เด็กไม่ได้ครูที่เก่งหรือมีใจ แค่คนที่จ่ายเงินมาอยู่หน้าชั้น” และ “เงินที่ควรไปถึงนักเรียน ถูกดูดออกไปกลางทาง”
“ความเหลื่อมล้ำขยายตัว โรงเรียนดีมีเฉพาะบางพื้นที่ โรงเรียนชนบทถูกทิ้งห่างออกไปทุกปี”
แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประกาศนโยบายลดภาระงานครู และปฏิรูประบบการทำงานเพื่อให้ครูได้กลับไปทำหน้าที่สอนอย่างเต็มที่ นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพ แต่ความจริงคือ “ทุกอย่างคงเหมือนเดิม” และอาจจะค่อยๆ ทวีคูณความเสียหายเพิ่มขึ้น
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับยังห่างไกลจากคำว่า “เปลี่ยนแปลงเชิงระบบ” ครูยังคงต้องแบกรับภาระงานนอกเหนือการสอน ถูกกดทับด้วยระบบราชการซับซ้อน ขาดอิสระในการสอน และรู้สึกไร้คุณค่า ในขณะที่นักเรียนยังคงขาดโอกาส ถูกระบบที่ล้าหลังดึงถ่วงอนาคตของพวกเขาทุกวัน ครูดีที่อยากสอนจะเริ่มหายไป
จากเรื่องทั้งหมดที่เล่ามาผู้เขียนอยากชวนให้ทุกคน “ตระหนัก” และ “มองเห็น” ความผิดปกติที่เนื้อร้ายการคอร์รัปชันกำลังกัดกินระบบการศึกษาไทย ไม่ใช่ว่าทุกพื้นที่จะเลวร้าย แต่เมื่อระบบมีจุดเน่าเสีย เราต้องกล้ายอมรับ และกล้าเรียกร้องให้มันเปลี่ยนแปลง น่าดีใจที่วันนี้เราเริ่มเห็น “คนตัวเล็ก” ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับสิ่งผิดปกติ และพยายามเปลี่ยนแปลงเท่าที่
พวกเขาจะทำได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ยืนเคียงข้างคนที่อยากเห็นการศึกษาเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้น เช่น เพจ Inskru -พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน ที่ส่งเสริมให้ครูได้กลับไปสอนอย่างมีคุณภาพ หรือ เพจ ครูขอสอน ที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อเรียกร้องสิทธิ์และปกป้องศักดิ์ศรีของครู, เพจ นักเรียนเลว ที่ขับเคลื่อนเรียกร้องสิทธิและส่งเสียงปัญหาที่เกิดขึ้นและกระทบกับนักเรียน และยังมีอีกหลายเครือข่าย หลายพื้นที่ ที่รวมตัวกันจากความเข้าใจปัญหาเดียวกัน เพื่อจะไม่ยอมให้ภัยเงียบคอร์รัปชันเชิงระบบกลืนโอกาสทางการศึกษาอีกต่อไป
แม้ว่าเรายังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม แต่เราก็พอจะเห็น “ความพยายาม” จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบางช่วงบางเวลา อย่างไรก็ตาม ความพยายามเพียงลำพังไม่พอ ถ้าสังคมยังเงียบ เราอยากชวนให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาและความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ในระบบการศึกษาไทยและร่วมกัน สะท้อนปัญหาและความต้องการ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นผ่านเสียงพูด การเขียน หรือการเคลื่อนไหวในพื้นที่สาธารณะ ตามช่องทางข้างต้นที่ผู้เขียนยกตัวอย่างไป เพราะเสียงเหล่านี้จะกลายเป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ที่ทรงพลัง และนั่นแหละคือแรงกดดันที่แท้จริง ที่จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องลุกขึ้นขยับแก้ไขปัญหากันต่อไป
เพราะในระบบแบบนี้… “ถ้าไม่มีกระแส ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

ฐากร สีใสภูวเดช
หัวข้อ
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย
จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด
แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน
เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)
