คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : ประชาชน อำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญไทยมาตรา 3

ในวันที่การเมืองไทยกำลังคุกรุ่น หน้าสื่อเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ว่าจะจากทางศาล คณะรัฐมนตรี หรือรัฐสภา มีคำสั่งถอดถอน คำสั่งยุบพรรค การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือความคืบหน้าในนโยบายต่างๆ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นหรือไม่เป็นดังที่ใจเราหวัง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนอย่างเราล้วนได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเหล่านั้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมทั้งสิ้น

ในตอนนั้นผู้เขียนก็มีคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมา “ในวันที่การเมืองมันชุลมุนวุ่นวายแบบนี้ ตัวเราเองทำอะไรได้บ้างนะ หรือเราเคยมีส่วนร่วมตัดสินใจทำให้เรื่องเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า?”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 วางหลักว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”

แล้วอำนาจอธิปไตย ที่เขาบอกว่าเรามีมันคืออะไรกันนะ

อำนาจอธิปไตย คืออำนาจสูงสุดที่เด็ดขาดไม่ถูกจำกัดโดยสิ่งใด โดยใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ก็ขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองในแต่ละประเทศ จึงนำมาสู่คำที่เราคุ้นเคยกันอย่าง กับระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ซึ่งมาจากคำว่าประชา ประกอบกับ อธิปไตย หมายถึงการปกครองโดยประชาชน โดยอำนาจสูงสุดในการปกครองจะมาจากประชาชนนั่นเอง

ประชาชนอย่างเราผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดไปใช้อำนาจนั้นตอนไหนบ้าง ซึ่งก็คือการใช้ผ่านกระบวนการ การเลือกตั้ง เป็นการเลือกผู้แทนเข้ามาเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจอธิปไตยของเรา เป็นการใช้ประชาธิปไตยทางอ้อม (Representative Democracy) นั่นเอง ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงไม่ใช่ผู้ที่จะขึ้นไป บริหารงบประมาณ ออกกฎหมาย หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเอง แต่เป็นการเลือกผู้แทน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นผู้แสดงออกถึงเจตจำนง ความต้องการของประชาชน

หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ถูกพูดถึงในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ” ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงประชาชนในเขตที่เลือกตั้งเท่านั้น และตัวสส.เองนั้นจะมีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเฉพาะสำหรับ สส. เพื่อรับประกันความเป็นอิสระของสส.ในการปฏิบัติหน้าที่ได้มีอิสระ โดยไม่มีการถูกกดดันและการคุกคาม ในระหว่างการประชุมสภา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นไปภายใต้ของเขตของรัฐธรรมนูญ เมื่อเป็นดังนั้นหากวันหนึ่งความวุ่นวาย ที่เราพูดถึงกันในช่วงแรกเกิดจาก สส. ที่ประชาชนเลือกเป็นตัวแทนนั้นทำหน้าที่หรือแสดงเจตจำนงของตน แตกต่างจากที่เคยเสนอตัวไว้ แบบนี้ประชาชนอย่างเราๆ จะทำอะไรได้บ้าง?

ความถูกใจหรือไม่ถูกใจกับผลทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลซึ่งมีพื้นฐานมาจากความคิด ประสบการณ์ และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันไปสิ่งที่บางคนมองว่าใช่ อาจไม่ใช่สำหรับอีกคนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับมุมมองและแนวคิดที่แต่ละคนยึดถือ หากพูดถึงความถูกต้องก็คงต้องย้อนกลับไปตามบทบาทหน้าที่ของสส. ที่ถูกบัญญัติไว้ที่ได้กล่าวกันไปข้างต้น แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อเกิดสถานการณ์สมมุติดังกล่าวขึ้นจริง ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ประชาชนจะไม่สามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอน สส.ได้ ต่างจากในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ

“มาตรา 271 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้อำนาจประชาชนไม่น้อยกว่า 20,000 คน ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งได้ด้วยวิธีเดียวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย หรือตาม รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งต้องใช้ 50,000 รายชื่อ ทำให้การรวบรวมชื่อเพื่อถอดถอนสส. ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแม้จะสร้างแรงกดดันทางสังคมได้ แต่ไม่มีผลในทางกฎหมาย”(ILAW./2019./รัฐธรรมนูญ 60 ไม่ให้อำนาจประชาชนเข้าชื่อถอดถอน สส. สว. เหมือนยี่สิบปีก่อน) อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจประชาชนที่รวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย กล่าวหา ป.ป.ช. หรือเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ก็ยังเป็นคำถามว่าในส่วนการถอดถอน สส. ทำไมประชาชนถึงถูกจำกัดอำนาจในจุดนี้ไปกัน

แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะไม่ได้เปิดช่องให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอน สส. ได้โดยตรงเหมือนในอดีต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอำนาจของประชาชนจะสิ้นสุดประชาชนยังคงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และยังมีช่องทางในการตรวจสอบผู้แทนที่ตนเลือกเข้าไปไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์จากภาคประชาชน เช่น Parliamentwatch เพื่อดูประวัติการทำงานหรือการออกเสียงในสภาของสส.,Politic data ซึ่งรวบรวมข้อมูลความเชื่อมโยงระหว่างพรรคการเมือง สส. บัญชีทรัพย์สินและโครงการรัฐต่าง ๆ

หรือจะเป็นการแสดงออกโดยการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เช่น การเข้าชื่อเสนอกฎหมายหรือการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบต่างๆล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทุกคน ตั้งแต่ราคาสินค้า การศึกษา ไปจนถึงนโยบายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน หากเราละเลยสิทธิและอำนาจของตนเองที่มีไป ก็อาจทำให้อำนาจอธิปไตยไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ดังนั้นอย่าปล่อยให้คำว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” เป็นเพียงประโยคหนึ่ง ในรัฐธรรมนูญต่อไป

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

อันดา ซ่อนกลิ่น

หน่วยงานสนับสนุน

หัวข้อ
Related Content

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : โอกาสและความสำคัญของการกลับคืนเป็นภาคี TI Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคของ Transparency International (TI) การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งนี้มีนัยสำคัญ แม้ปัจจุบันไทยจะไม่มีภาคีประจำประเทศอย่างเป็นทางการ …

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : เมื่อ ‘งบก่อสร้าง’ ไม่ได้สร้างแค่ถนน แต่สร้างรายได้พิเศษให้บางคนด้วย

จากที่ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในนามนักวิชาการอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผมถือว่าหน้าที่นี้คือโอกาสสำคัญที่จะได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และทรัพยากรของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน : อัปเดตประชุมวิชาการโลกเรื่องคอร์รัปชัน

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค Co-Founder บริษัท HAND Social Enterprise ได้รับเชิญไปบรรยายในงานประชุมทางวิชาการ Cambridge Economic Crime ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 40 แล้ว ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง โดยผศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ได้เข้าร่วมบรรยายเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพที่แท้จริงของความโปร่งใสในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการศึกษาผลกระทบจากโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Infrastructure Transparency: CoST)

You might also like...

KRAC Insight | การเงินพรรคการเมืองที่เปิดเผยโปร่งใส: โอกาสของไทยในการเข้าร่วม OECD

การเงินพรรคการเมืองที่โปร่งใส คือกุญแจสำคัญสู่ประชาธิปไตยและการก้าวสู่ OECD ชวนอ่านมุมมองจากคุณณัชชาภัทร อมรกุล ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า พร้อมแนวทางยกระดับความโปร่งใสของการเงินพรรคการเมืองไทย

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ชวนส่องความเสี่ยงทุจริต ของ 5 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย

รัฐธรรมนูญปี 2540 เปิดทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารตนเองเพื่อตอบโจทย์ชุมชน และลดภาระจากส่วนกลาง แต่กลับไม่ได้มาพร้อมกลไกตรวจสอบที่เพียงพอ จนทำให้หลายพื้นที่กลายเป็นแหล่งอิทธิพลทางการเมืองท้องถิ่นและการตรวจสอบงบประมาณเป็นไปได้ยาก

KRAC Insight | ส่องกฎหมายต่อต้านการให้และเรียกรับสินบน: มีด (ไม่) ลับของสหรัฐอเมริกา

รู้หรือไม่ว่ากฎหมาย FCPA และ FEPA ของสหรัฐฯ ถูกออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการ “ให้” และ “เรียกรับ” สินบนจากบรรษัทข้ามชาติ ศาสตราจารย์แมทธิว สตีเฟนสัน แห่ง Harvard Law School จะมาช่วยไขรหัสว่า ทำไมกฎหมายเหล่านี้ถึงสำคัญต่อทั้งบริษัทข้ามชาติ และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก