KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างไร ให้กลายเป็นประเทศที่โปร่งใสเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ?

ดัชนีการรับรู้การทุจริตชี้ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีความโปร่งใสอย่างมาก

ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ที่จัดทำโดย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) นับเป็นหนึ่งในเกณฑ์การวัดภาพลักษณ์ความโปร่งใสระดับประเทศที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งในแต่ละปีจะมีการประเมินคะแนนและอันดับของแต่ละประเทศ

 

โดยในปี 2023 ประเทศประเทศญี่ปุ่นถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 16 และประเทศเกาหลีใต้ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 32 ของโลก ทั้งสองประเทศนับเป็นประเทศจากเอเชียเพียงไม่กี่ประเทศที่มีความโปร่งใสอยู่ในดับต้น ๆ ของโลก คำถามคือ แล้วพวกเขาประสบความสำเร็จแบบนั้นได้อย่างไร ?

 

งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาความร่วมมือและยกระดับการป้องกันการทุจริตในประเทศไทย: ศึกษาประสบการณ์ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (2561) โดย สมชาย ธรรมสุทธิวัฒน์ และคณะ ได้ศึกษานโยบายการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาระบบการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย จากการใช้ข้อมูลโดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์ ทำให้ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจดังนี้

ญี่ปุ่น เน้นปฏิรูปกฎหมายเเละระบบราชการ

ประเทศญี่ปุ่น : เคยประสบปัญหาคอร์รัปชันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีการทุจริตในวงการการเมืองและธุรกิจอย่างแพร่หลาย ประเทศญี่ปุ่นจึงเริ่มดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยวิธีการ ดังนี้

  1. ปฏิรูปกฎหมาย: ประเทศญี่ปุ่นได้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการเมือง เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดโอกาสในการทุจริต เช่น พระราชบัญญัติควบคุมเงินทุนสำหรับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง (Political Funds Control Law) ที่กำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลการเงินของพรรคการเมืองและนักการเมือง รวมถึงจำกัดการบริจาคเงินทางการเมือง และพระราชบัญญัติมาตรฐานจริยธรรมสำหรับสมาชิกรัฐสภา (National Diet Ethics Law) ที่กำหนดมาตรฐานจริยธรรมสำหรับสมาชิกรัฐสภา และมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน
  2. ปฏิรูประบบราชการ: ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้นผ่านการลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนและไม่จำเป็น รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ และการเพิ่มความรับผิดชอบของข้าราชการต่อการปฏิบัติหน้าที่
  3. ส่งเสริมจริยธรรม: ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการปลูกฝังค่านิยมและจริยธรรมในการทำงาน ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น มีการจัดโครงการอบรมจริยธรรมให้กับข้าราชการและพนักงานบริษัท รวมถึงการส่งเสริมให้มี “จรรยาบรรณวิชาชีพ” ในแต่ละสาขาอาชีพ
  4. จัดตั้งสำนักงานอัยการสูงสุด: ประเทศญี่ปุ่นจัดตั้งสำนักงานอัยการสูงสุด (Supreme Public Prosecutors Office) ซึ่งมีอำนาจในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ทุจริตอย่างอิสระและเข้มแข็ง โดยมีอำนาจในการสืบสวน สอบสวน และฟ้องร้องคดีอาญา รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
  5. สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน: ประเทศญี่ปุ่นส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและรายงานการทุจริต ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สายด่วนแจ้งเบาะแส และ เว็บไซต์ร้องเรียนออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสเพื่อให้ประชาชนกล้าที่จะออกมาเปิดโปงการทุจริตโดยไม่ต้องกลัวการถูกกลั่นแกล้ง

เกาหลีใต้ เน้นความร่วมมือทุกภาคส่วนต้านโกง

เกาหลีใต้: เป็นหนึ่งในประเทศที่เคยเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันที่รุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี 1997 ซึ่งทำให้เห็นถึงความอ่อนแอของระบบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้น เกาหลีใต้จึงเริ่มดำเนินการปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน โดยมีวิธีการ ดังนี้

  1. จัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันและสิทธิพลเมือง (ACRC): ประเทศเกาหลีใต้ได้จัดตั้ง ACRC ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจในการตรวจสอบ ป้องกัน และปราบปรามการทุจริตอย่างกว้างขวาง โดยมีหน้าที่หลักดังนี้
      • ตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ: เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
      • ตรวจสอบการละเมิดจริยธรรม: ตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายการละเมิดจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
      • รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต: ให้ประชาชนสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตได้โดยตรง
      • ดำเนินการทางกฎหมาย: ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำการทุจริต
      • ให้ความรู้และเผยแพร่ข้อมูล: จัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชัน
  1. K-PACT: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านโครงการ K-PACT (Korea Pact for Transparency and Integrity) โดยมีการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในองค์กรต่าง ๆ เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตในภาคธุรกิจ
  2. การปกป้องผู้เปิดโปง: มีระบบการปกป้องผู้เปิดโปงข้อมูลการทุจริต ทำให้ประชาชนกล้าที่จะออกมาเปิดโปงการทุจริต โดยมีกฎหมายคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส รวมถึงมีการให้รางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแส เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเปิดโปงการทุจริต
  3. การสร้างจิตสำนึก: รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนึกต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่เด็ก มีการจัดกิจกรรมและโครงการ เช่น การอบรม การประกวด และการเผยแพร่สื่อเพื่อส่งเสริมความซื่อสัตย์และความโปร่งใสในสังคม

แล้วไทยควรเน้นเรื่องอะไร?

จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นเน้นที่การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจัง และจำกัดขอบเขตการดำเนินคดีเพื่อให้การจัดการปัญหาทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่เกาหลีใต้เน้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อสู้กับการทุจริตและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง ซึ่งงานวิจัยได้สรุปบทเรียนในสิ่งที่ไทยยังขาดไป ดังนี้

  1. รัฐควรสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริต ร่วมตรวจสอบผ่านระบบการคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูลการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ และต้องให้ความรู้กับประชาชนว่าการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐกับระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องเดียวกัน นอกจากนี้ ยังต้องสนับสนุนภาคสื่อมวลชนเข้าไปเป็นกลไกที่ช่วยเหลือภาคประชาชน สนับสนุนการสร้างองค์กรภาคประชาสังคมให้มีการป้องกันการทุจริตได้ในระยะยาว และสร้างวัฒนธรรมของความซื่อสัตย์ สุจริตให้เกิดขึ้นในสังคม 
  2. สร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งหรือประชาธิปไตยแบบหนา (Thick Democracy) เพื่อยกระดับการป้องกันการทุจริต โดยมีแนวทางว่าประชาชนควรมีบทบาทและใช้กระบวนการทางกฎหมายเอาผิดรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงไปสู่การลงโทษ 
  3. ลดการผูกขาด เพราะระบบที่มีการผูกขาดทำให้มีแรงจูงใจที่จะแย่งชิง “กำไรส่วนเกิน” ดังนั้น เครื่องมือที่ใช้จัดการกับกำไรส่วนเกินคือการประมูล แต่ในปัจจุบันการให้คะแนนหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนประกอบกับไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปมีส่วนร่วม จึงต้องจัดการประมูลโดยกำหนดปัจจัยการให้คะแนนที่ชัดเจนและต้องมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมด้วย 
  4. ลดการใช้ดุลพินิจสองประเภท ประเภทแรก คือการใช้ดุลพินิจโดยเสรีหรือเด็ดขาด (absolute discretion) หรือการใช้ดุลพินิจโดยอาศัยมาตรฐานส่วนตัว (subjective) ของผู้ใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นช่องทางในการทุจริต ประเภทที่สอง คือการใช้ดุลพินิจที่มีหลักเกณฑ์กำกับการใช้ (structured discretion) หรือการใช้ดุลพินิจต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จะใช้ดุลพินิจอย่างเสรีไม่ได้ ซึ่งมีข้อเสียคือขาดความยืดหยุ่น เช่น บางกรณีควรตัดสินไปในทางหนึ่งเพื่อความยุติธรรมแต่ทำไม่ได้เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ 

งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาความร่วมมือและยกระดับการป้องกันการทุจริตในประเทศไทย: ศึกษาประสบการณ์ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้” (2561) ดย สมชาย ธรรมสุทธิวัฒน์ และคณะยังมีข้อค้นพบจากการศึกษางานวิชาการอื่น ๆ ที่น่าสนใจ สามารถอ่านสรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย

ที่มา

สมชาย ธรรมสุทธิวัฒน์, อนันต์ เพชรใหม่, นนท์ น้าประทานสุข, นวลจันทร์ แจ้งจิตร และสว่าง มีแสง. (2561). การพัฒนาความร่วมมือและยกระดับการป้องกันการทุจริตในประเทศไทย: ศึกษาประสบการณ์ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.).

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง
  • ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I มันจบแล้วครับ…(ถ้า) นาย (โกง) : รู้จักกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะทุจริต

การแจ้งเบาะแส เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถลดการคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคงไม่มีใครให้มีข้อมูลเชิงลึกได้เท่า “คนใน” องค์กรเอง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนในองค์กรไม่กล้าให้แจ้งเบาะแสทุจริต คือ “ความกลัว”

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก 3 แนวทาง Support ผู้แจ้งเบาะแสทุจริต

ยิ่งมีคนแจ้งเบาะแสมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการตรวจสอบและช่วยนำคนผิดมาลงโทษมากเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนที่มีข้อมูลไม่อยากแจ้งเบาะแส เพราะกลัวว่าถ้าแจ้งไปแล้วก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รางวัลแด่คนช่าง “แจ้ง”

กุญแจสำคัญที่จะช่วยจัดการคอร์รัปชันได้ คือ “การมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส” เพราะถ้าทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบคอร์รัปชันภายในหน่วยงานรัฐ ช่วยกันแจ้งเบาะแส จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐรู้สึกกดดัน กลัวจะถูกจับได้และไม่กล้าคอร์รัปชัน ภาครัฐจึงมีความพยายามอย่างมากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

You might also like...

KRAC Hot News I ผู้หญิงไม่เพียงแต่ถูกเรียกสินบน… แต่ยังถูกขอเรื่องเซ็กส์ด้วย

งานวิจัยจาก Transparency International เผยว่า “เพศ” ส่งผลต่อรูปแบบการเผชิญกับคอร์รัปชัน! เพราะผู้หญิงอาจถูกบังคับให้จ่ายสินบนทางเพศ หรือถูกละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ปิดช่องโหว่ดุลพินิจ ปิดช่องทางทุจริตในไทย

“ดุลพินิจ” อำนาจรัฐ หรือช่องว่างที่ทำให้เกิดการทุจริต ? KRAC ชวนถอดบทเรียนการแก้ปัญหาโกงจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐจากกงานวิจัยเรื่อง การแสวงหาผลประโยชน์ จากการอนุญาตโดยใช้อำนาจรัฐ (2560)

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | จะกลัวทำไมมีเมื่อกฎหมายหนุนหลัง ? ชวนส่องกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วม

เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่การตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นับว่าเป็นอีกหนึ่งการมีส่วนร่วมที่สำคัญ KRAC คัดสรร ชวนดู กฎหมายมาตราไหน สนับสนุนประชาชนอย่างไรบ้าง ?