KRAC Hot News I เรื่องวุ่น ๆ ของประเด็นปัญหาคอร์รัปชันกับข้อถกเถียงว่าด้วยดัชนี CPI

ในช่วงต้นปีของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาสำคัญของใครหลายคนที่ติดตามประเด็นปัญหาคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพราะช่วงนี้จะมีการประกาศผลคะแนนดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน หรือ Corruption Perceptions Index (CPI) ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลก 

 

ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (CPI) ที่เผยแพร่เป็นประจำทุกปีโดยองค์กร Transparency International (TI) ถือเป็นมาตรฐานอ้างอิงในการทำความเข้าใจระดับการคอร์รัปชันทั่วโลก โดยมีีการจัดอันดับประเทศต่าง ๆ ตามระดับการคอร์รัปชันในภาครัฐที่รับรู้ โดยใช้ข้อมูลจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญและการสำรวจความคิดเห็นจากดัชนีที่่เกี่ยวข้องต่าง ๆ 

 

ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งใน 180 ประเทศ ที่ได้รับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องในการจัดอันดับดัชนี CPI โดยคะแนนของดัชนีนี้มีอิทธิพลต่อการอภิปรายในที่สาธารณะ การกำหนดนโยบาย และชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทย รวมถึงหน่วยงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันของไทยจึงให้ความสำคัญอย่างมากต่อคะแนนตัวชี้วัดนี้ 

 

และในประเทศไทยเอง ก็ได้มีการกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 2 โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ประเทศไทยจะต้องได้คะแนน CPI 57 คะแนนจาก 100 คะแนนเต็ม ภายในปี 2570 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาคะแนนดัชนี CPI ของไทย วิ่งขึ้นลงระหว่างช่วง 30-40 เท่านั้น!  

 

จะเห็นได้ว่า ระดับคะแนน CPI ของไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ “ต่ำ” ทั้งที่ประเทศไทยมีการออกมาตรการและแก้ไขกฎหมายต่อต้านการทุจริตมากมายหลายฉบับในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การคอร์รัปชันของประเทศไทยจะย่ำแย่กว่าเดิม โดยเฉพาะในช่วงปี 2566-2567 ที่เราจะได้เห็นกรณีการทุจริตบนหน้าข่าวมากมายในหลากหลายวงการ เช่น กรณีการจับกุมเจ้าหน้าที่ระดับ “อธิบดี” ในข้อหาเรียกรับสินบน ที่เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ ไปจนถึงการพัวพันรับเงินผิดกฎหมายจากเว็บไซต์พนันออนไลน์ในวงการตำรวจ 

อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีมานี้ ดัชนี CPI ถูกวิจารณ์อย่างหนักทั้งในไทยและต่างประเทศถึงความเที่ยงตรงและการสะท้อนถึงภาพระดับการคอร์รัปชันที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะอาศัยเพียงแค่ความคิดเห็นจากคนบางกลุ่มในสังคม หรือเป็นการมองและประเมินจากบุคคลภายนอกสังคมนั้น ๆ  

 

ศาสตราจารย์ Matthew C. Stephenson, Professor of Law at Harvard Law School ที่ปรึกษาของศูนย์ KRAC มองว่า

 

แม้ CPI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เห็นภาพรวมสถานการณ์คอร์รัปชัน แต่ CPI ไม่สามารถสะท้อนความเปลี่ยนแปลงแบบปีต่อปีได้ ซึ่งอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศ เพราะ CPI เน้นสะท้อนเพียงภาพลักษณ์ แต่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวัดสถานการณ์จริงที่มีประเด็นในหลากหลายมิติมาเกี่ยวข้อง

 

ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เกิดการจับกุมเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนกับการคอร์รัปชันได้เยอะ ๆ อาจเป็นการสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีหรือไม่ดีได้ทั้งคู่ เพราะมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าการตรวจจับการคอร์รัปชันนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมองได้ว่าประเทศนี้มีปัญหาคอร์รัปชันที่มากก็ได้ ด้วยเหตุเช่นนี้ CPI จึงอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่สามารถยึดถือและยึดมั่นได้อย่างตายตัวในการวัดระดับปัญหาการคอร์รัปชันในสังคม  (คลิกเพื่อรับฟังการบรรยายหัวข้อ กำหนดเป้าหมายต้านคอร์รัปชันอย่างไร เมื่อ CPI ยังไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เหมาะสม ?)

สอดคล้องกับงานวิจัยของ ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ (2557) เรื่องอรัปชันในระบบราชการไทย การสำรวจทัศนคติ ประสบการณ์ของหัวหน้าครัวเรือน ที่ได้สำรวจทัศนคติและประสบการณ์ของหัวหน้าครัวเรือนในปี 2557 เทียบกับปี 2542 ต่อประเด็นคอร์รัปชันในประเทศไทย ซึ่งผลสำรวจ พบว่า สถานการณ์คอร์รัปชันของไทยในปี 2557 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และคนจำนวนมากยังคงเผชิญกับปัญหาการคอร์รัปชันในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการให้บริการของภาครัฐ และในด้านกระบวนการยุติธรรม 

 

แม้งานศึกษาของผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ จะมีผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ผลของการศึกษาก็ยังสะท้อนถึงสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกี่ยวกับปัญหาคอร์รัปชันในสังคมไทยอยู่ไม่น้อย โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้เสนอให้ประเทศไทยควรมีการสำรวจและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับระดับการคอร์รัปชันในสังคมในลักษณะเช่นนี้เป็นประจำทุก 5 – 10 ปี เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลเหล่านี้เป็นของตนเอง และในขณะเดียวกันก็สามารถดำเนินการวางมาตรการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น 

 

โดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าในสถานการณ์ที่เรายังไม่มีดัชนีตัวชี้วัดที่ดีพร้อมเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน สิ่งที่ประเทศไทยทำได้ก็คงต้องยอมรับถึงการมีอยู่ของดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (CPI) ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดอยู่มาก และถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ดุลยพินิจมากกว่าการมีเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าดัชนีนี้ยังมีส่วนต่อการชี้ให้เราเห็นถึงปัญหาว่าภาคส่วนไหนมีจุดอ่อนอะไรที่ต้องปรับปรุง  

 

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ต้องไม่ถือผลคะแนน CPI นี้เป็นที่สุด เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการมากมายที่จะทำให้คะแนน CPI ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น เพราะจากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการสำรวจปัญหาการทุจริตด้วยตนเองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในขณะเดียวกัน เราก็จำเป็นที่จะต้องออกแบบเครื่องมือเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสม 

 

แล้วมาดูกันว่า 11 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ คะแนนดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชันของประเทศไทยในปีนี้จะเป็นอย่างไร 

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

ผู้จัดการ ศูนย์ KRAC

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จของหน่วยงานรัฐ ในการสร้างธรรมาภิบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

สร้างความสำเร็จในหน่วยงานด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีตัวอย่าง 6 หน่วยงานรัฐไทยที่ไขแนวคิด พิชิตความสำเร็จในการสร้างธรรมาภิบาล…ปัจจัยความสำเร็จเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง ? และผลลัพธ์ของการมีธรรมาภิบาลจะเป็นเช่นไร ? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิด-19 ส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์คอร์รัปชันและธรรมาภิบาล ?

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การใช้อำนาจพิเศษของรัฐ ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น และการจัดซื้อจัดจ้างแบบฉุกเฉินที่เสี่ยงต่อการทุจริต แล้วเราจะฟื้นฟูผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร ?

You might also like...

แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคล และธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยว ทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกงและการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหากำไร 

เมื่อการฟอกเงินเป็นปัญหาร้ายแรงที่ยังคงแพร่หลายในสังคมไทย การแก้ไขปัญหาจึงต้องลองศึกษาแนวทางที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทประเทศไทยในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ยุุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการพัฒนาของรัฐระดับชุมชน

จากการวิเคราะห์ TOWS Matrix 4 ของโครงการต่าง ๆ ของรัฐ สามารถพัฒนาเป็นโมเดลยุทธศาสตร์ เพื่อช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันในโครงการพัฒนาของรัฐระดับชุมชนได้

ปัจจัยที่กำหนดการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล

เมื่อการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นสัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพรรคการเมืองอยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ปัญหาการทุจริตจึงฝังรากลึกอยู่ในการเลือกตั้งทุกระดับ