ข้อมูลเปิด: ทางออกที่มากกว่าความโปร่งใส กับ ‘ณัฐภัทร เนียวกุล’
บ่อยครั้งที่การเข้าถึงภาครัฐถูกปกคลุมด้วยข้อกฎหมายและขั้นตอนที่ซับซ้อน ทำให้เกิดความยุ่งยาก จนกลายเป็นอุปสรรคและริดรอนสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องถูกเปิดเผยเพื่อให้เกิดการรับรู้ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบร่วมกัน
จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์ม ACT AI
‘ณัฐภัทร’ เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์ม ACT AI ที่เปิดตัวในปี 2562 ในฐานะแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลโครงการซื้อจัดจ้างภาครัฐกว่า 43 ล้านโครงการในระบบ โดยรวบรวมข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เฉลี่ยโครงการในระบบปีละ 3 ถึง 4 ล้านโครงการที่ได้มีการจัดทำเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงการคอร์รัปชัน และเชื่อมโยงชุดฐานข้อมูลเปิดภาครัฐเข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มักเกี่ยวข้องกับฐานอำนาจทางการเมือง
ถึงแม้ปัจจุบันภาครัฐจะมีแพลตฟอร์ม ‘ภาษีไปไหน’ ที่แสดงข้อมูลครอบคลุมตั้งแต่การใช้จ่ายงบประมาณ เปรียบเทียบข้อมูลการใช้จ่ายงบฯ โดยดึงฐานข้อมูลมาจากระบบ e-Budgeting ของสำนักงบประมาณ และข้อมูลสถานะการเบิกจ่ายงบประมาณ จากระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง
อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มดังกล่าวก็ยังไม่ครอบคลุมชุดข้อมูลที่จะสามารถวิเคราะห์ในเชิงลึกถึงแนวโน้มความเสี่ยงในการทุจริตได้ อย่างปัญหาเรื่องการฮั้วประมูล การปั่นราคา ความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยรับงบประมาณกับบริษัทรับจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลเปิดจำนวนมากเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงการคอร์รัปชันในแต่ละโครงการ แพลตฟอร์ม ACT AI จึงเข้ามาเติมเต็มและตอบโจทย์ปัญหาดังกล่าว
เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการคอร์รัปชัน
แพลตฟอร์ม ACT AI มีฐานคิดในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการคอร์รัปชัน จากการศึกษาของคณะทำงานองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ร่วมกับคณะทำงาน Open Data Charter ที่ได้มีการกำหนดรายละเอียดชุดข้อมูล และองค์ประกอบของการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน
โดยมี 4 หมวดหมู่ คือ
- หมวดหมู่ของบุคคลหรือองค์กร เช่น ข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลผู้บริหารและคณะกรรมการต่าง ๆ ของรัฐ บัญชีผู้ทิ้งงาน เป็นต้น
- หมวดหมู่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรของสาธารณะ เช่น ข้อมูลงบประมาณภาครัฐ ข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ข้อมูลการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน เป็นต้น
- หมวดหมู่กฎหมายและกฎระเบียบ เช่น ข้อมูลการลงคะแนนของสมาชิกรัฐสภา ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย เป็นต้น 4) หมวดหมู่ทรัพยากรและผลประโยชน์ เช่น ข้อมูลบัญชีทรัพย์สิน ข้อมูลการครอบครองที่ดิน เป็นต้น
ความท้าทายของการทำข้อมูลเปิด (Open Data)
หรืออย่างกรณีการขอข้อมูลบัญชีทรัพย์สินที่ปัจจุบันกฎหมายเปิดช่องให้การเปิดเผยต้องมีกำหนดระยะเวลา โดยปัจจุบันของนักการเมืองมีระยะเวลาในการเปิดเผยอยู่ที่ 180 วัน ขณะที่ข้าราชการระดับสูงอยู่ที่ 3 ปี คำถามคือทำไมเกณฑ์กำหนดระยะเวลาต่างกัน และตัวเลข 180 วัน เป็นตัวเลขที่น้อยเกินไปในการเข้าถึงหรือไม่ ทั้งนี้ ‘ณัฐภัทร’ มองว่าข้อมูลดังกล่าวต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบตลอดระยะเวลาที่นักการเมืองคนนั้นดำรงตำแหน่ง
นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคจาก กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หรือความสับสนระหว่างคำว่า Data ในฐานะชุดข้อมูลที่เข้าถึงและนำไปประมวลผลเพื่อใช้งานต่อได้ และ Information ในฐานะข่าวสารโดยทั่วไป ทำให้แต่ละหน่วยงานตีความต่างกัน รวมถึงปัญหาปลีกย่อยต่าง ๆ เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการกรอกข้อมูลบัญชีทรัพย์สินที่แตกต่างกันในแต่ละปี ทำให้เทคโนโลยีที่จะใช้ในการดึงข้อมูล ต้องปรับตามทุกปี
ข้อมูลเปิด ควรเป็นสะพานเชื่อมรัฐกับประชาชนในการตรวจสอบการใช้งบประมาณ
ทั้งหมดนี้หากแก้ไขได้ ข้อมูลเปิดเหล่านี้จะไม่เพียงแค่การสร้างความโปร่งใส แต่ยังเป็นสะพานเชื่อม ที่ดึงประชาชนและภาคประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกำหนดทิศทางการใช้งบประมาณ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจาก “ภาษีของประชาชน”
เรียบเรียงโดย เสฏฐวุฒิ เกตุแก้ว
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data
Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน
ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ
เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”


