
จบไปแล้วกับ KRAC INSIGHT LIVE EP4: การเพิ่มขีดความสามารถภาครัฐ และลดคอร์รัปชัน ในฐานะ “นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม”
การพูดคุยในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่มานำเสนอประเด็นที่น่าสนใจ และควรต้องศึกษากันต่อในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาครัฐ เพื่อให้แนวทางการพัฒนาประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทำความเข้าใจนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกของภาครัฐ
ในช่วงแรก ดร.แบ๊งค์ ชวนพวกเราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกของภาครัฐ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก
โดย ดร.แบ๊งค์ ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากหลายประเทศที่ปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญกับการวางแนวนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจนกลายเป็น New Normal ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการผ่านกฎหมาย CHIPS and Science Act เพื่อทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลในด้านวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมชิป เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้เช่นกัน และนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมก็นับวันจะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะในปัจจุบันข้อมูลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเฉลี่ย 7.8% ในช่วงปี 1986-1995 เหลือเพียง 2.8% ในช่วงปี 2011-2019
และที่น่ากังวลอย่างยิ่ง คือประเทศไทยยังติดกับดักเทคโนโลยีปานกลาง ซึ่งเรายังคงเผชิญกับปัญหาการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีสูงที่มีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่มีสัดส่วนการส่งออกเพียง 15.6% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด ในขณะที่เกาหลีใต้มีสัดส่วนสูงถึง 27.8% และที่แย่ไปกว่านั้น คือประเทศไทยยังมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ในระดับที่ต่ำมากอีกด้วย
ออกแบบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างไรให้เหมาะสม ?
หลายท่านคงมีคำถามในใจว่า ‘แล้วเราจะออกแบบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างไรให้เหมาะสม ?’ ซึ่ง ดร.แบ๊งค์ มีคำตอบให้กับพวกเราว่า กรอบนโยบายนวัตกรรมแบบมุ่งพันธกิจ (Mission-Oriented Innovation Policy – MOIP) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่เราจะต้องเร่งดำเนินการกันอย่างเร่งด่วน
ประการแรก คือ ต้องเร่งเฟ้นหาความท้าทายและพันธกิจ
ซึ่งพันธกิจที่ดีนั้นควรมีความทะเยอทะยาน ต้องการความร่วมมือจากหลากหลายสาขา มีความเป็นรูปธรรม มีกรอบเวลาชัดเจน และเปิดโอกาสให้มีการทดลองเรียนรู้จากล่างขึ้นบน เช่น นโยบาย EU Green New Deal ที่ได้ตั้งเป้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เป็นต้น
ประการที่สอง คือ การทำงานร่วมกับภาคเอกชน
โดยรัฐบาลควรออกแบบกลไกในการทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากการแย่งชิงทรัพยากร และมุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวก ยกตัวอย่างเช่น กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ของสหรัฐอเมริกา ที่มีการจัดสรรงบประมาณกว่า 14 ล้านล้านบาท สำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น แรงจูงใจทางภาษี (55%) เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข (21%) และวงเงินกู้ (10.2%) เป็นต้น
ประการที่สาม คือ การทำความเข้าใจหัวใจสามดวงของการส่งเสริมแบบ MOIP
ซึ่งประกอบไปด้วย การสร้างเทคโนโลยีใหม่ เช่น เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ที่ได้รับเครดิตภาษีภายใต้กฎหมาย IRA การสร้างบริษัทที่มีศักยภาพ โดยกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการลดบทบาทของภาครัฐและเพิ่มความเข้มแข็งของภาคเอกชน และการสร้างงานที่ดี เพื่อป้องกันปัญหาการเติบโตที่ไม่สร้างงาน
ประการที่สี่ คือ การมียุทธศาสตร์เชิงพื้นที่และการกระจายการพัฒนา
โดยคำนึงถึงการกระจายการพัฒนาอย่างเท่าเทียม เช่น กฎหมาย IRA ที่ให้เครดิตภาษีพิเศษสำหรับการลงทุนในพื้นที่ที่เสียเปรียบ ซึ่งส่งผลทำให้ 81% ของเงินลงทุนด้านพลังงานสะอาดถูกกระจายไปยังพื้นที่ที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ เป็นต้น
ประการที่ห้า คือ การออกแบบกลไกการขับเคลื่อนที่ดี
ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาถึงการกำหนดสาขาเศรษฐกิจและโครงการย่อยอย่างชัดเจน รวมถึงมีการเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดทำงานร่วมกัน มีการจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับเป้าหมาย มีการประเมินผลอย่างเป็นระบบ และคำนึงถึงความเป็นธรรมในการแข่งขันควบคู่กันไป
ประการสุดท้าย คือ การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมาย
เช่น การใช้มาตรการลดภาษีและอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข การปกป้องตลาดภายในชั่วคราว การให้ทุนวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมทางการตลาด เป็นต้น ซึ่งในแต่ละเครื่องมือต่างก่อให้เกิดผลได้และผลเสียที่แตกต่างกัน รัฐบาลจึงต้องพึงระวังอย่างมากต่อการใช้มาตรการเหล่านี้ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเฉพาะ
การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรม ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการลดคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ ดร.แบ๊งค์ ยังแบ่งปันความเห็นเพิ่มเติมว่าการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรม จำเป็นที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ และการลดคอร์รัปชัน เพราะนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นที่จะต้องอาศัยเงื่อนไขทั้งสองประการนี้ด้วยเช่นกัน
โดยในปัจจุบัน มาตรการปฏิรูปที่น่าสนใจเพื่อผลักดันนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อาทิ การปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความล่าช้าและลดความซับซ้อนของระบบราชการ และการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าเพื่อลดการผูกขาดและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม
สำหรับมาตรการในการปฏิรูปกฎหมาย ดร.แบ๊งค์ อธิบายว่าการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐและลดโอกาสในการคอร์รัปชัน เช่น Project 30 ของเวียดนาม ที่สามารถลดจำนวนของกฎระเบียบได้ถึง 8.8% และลดความซับซ้อนของกฎระเบียบได้อีก 77% ซึ่งช่วยลดต้นทุนของประเทศได้ประมาณ 49,000 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยเอง แม้จะมีความพยายามในการปฏิรูปกฎหมาย เช่น การปรับปรุงดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) แต่ก็ยังคงมีกฎหมายและมาตรการอีกจำนวนมากที่ต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์
มาตรการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าสามารถช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันได้
ในขณะที่การส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าเป็นเรื่องสำคัญ ดร.แบ๊งค์ ยังระบุว่า หากเราอ้างอิงตามสมการคอร์รัปชันของ Klitgaard ที่กล่าวว่าปัญหาคอร์รัปชันเกิดจากการมีอำนาจผูกขาด (Monopoly power) การใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (Discretion of officials) และการขาดความรับผิดชอบ (Accountability) จะเห็นได้ว่ามาตรการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าสามารถช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันได้ และมีข้อมูลจากงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ให้เห็นว่า “ยิ่งมีการผูกขาดมากเท่าไหร่ ยิ่งเกิดการติดสินบนมากขึ้นเท่านั้น”
แต่ผลลัพธ์ของการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ไม่ใช่เพียงแค่เพิื่อลดการคอร์รัปชันเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญต่อการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรม ซึ่งถ้าหากรัฐบาลสามารถควบคุมการแข่งขันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ การลงทุนในลักษณะนี้ก็จะเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่ ดร.แบ๊งค์ ชวนพวกเราพูดคุยในครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ในวันนี้กำลังเผชิญปัญหาจากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่เศรษฐกิจระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ประเด็นเหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการใส่ใจมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยสำคัญ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ และการลดปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งสามารถทำได้ผ่านมาตรการปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความซับซ้อนและการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า
โอกาสของประเทศไทยในการก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมทันสมัย
คงเป็นที่ปฏิเสธได้ยากในวันนี้ว่า ถ้าหากประเทศไทยต้องการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมทันสมัย สิ่งที่เราจะต้องเร่งลงมือทำไปพร้อม ๆ กัน คือ การแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงจะต้องลดโอกาสและลดช่องว่างที่จะทำให้เกิดการคอร์รัปชัน และที่สำคัญคือลดการผูกขาดในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นในตลาดให้มากขึ้น
หากประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้ การหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก็จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากในอนาคต
เรียบเรียงโดย ศุภวิชญ์ เเก้วคูนอก
ผู้จัดการศูนย์ KRAC
หัวข้อ
เปลี่ยน Trainees เป็น Rookies ตัวท็อปของวงการ : ชวนอ่าน Anti-Corruption 101 เพื่อปูพื้นฐานการต่อต้านคอร์รัปชัน
ชวนอ่าน Anti-Corruption 101 ที่จะช่วยปูพื้นฐานความรู้ในเรื่องการคอร์รัปชัน ผ่านแนวคิดทางวิชาการ และเรียนรู้แนวทางการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาเข้าใจง่ายสำหรับทุกคน
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
คัดสรรงานวิจัยไทยต่อต้านคอร์รัปชัน ที่คุณอาจไม่รู้ (จัก) มาก่อน : ชวนอ่านสรุปงานวิจัยไทย 24 ชิ้น เพื่อทำความเข้าใจการต่อต้านคอร์รัปชัน
ชวนอ่านสรุปงานวิจัยไทยที่ KRAC คัดสรรมาให้คุณ เพื่อจะทำให้คุณเข้าใจปัญหา และวิธีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันภายใต้บริบทของประเทศไทย