KRAC Insight | การเงินพรรคการเมืองที่เปิดเผยโปร่งใส: โอกาสของไทยในการเข้าร่วม OECD

การเงินพรรคการเมืองที่โปร่งใส คือกุญแจสำคัญสู่ประชาธิปไตยและการก้าวสู่ OECD

 

KRAC ขอชวนทุกท่านมาร่วมเจาะลึกกับประเด็นการเงินพรรคการเมืองไทยว่ามีความสำคัญอย่างไร จะทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส และจะช่วยให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้จริงหรือไม่
 
ในรายการ KRAC INSIGHT LIVE EP 07 หัวข้อ การเงินพรรคการเมืองที่เปิดเผยโปร่งใส: โอกาสของไทยในการเข้าร่วม OECD โดยคุณณัชชาภัทร อมรกุล ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

เข้าร่วม OECD ไทยต้องทำอะไรบ้าง

คุณณัชชาภัทร เริ่มต้นด้วยการอธิบายเกี่ยวกับ OECD ว่าเป็นองค์การที่เกิดจากการรวมกลุ่มของประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว เพื่อแชร์ประสบการณ์การดำเนินนโยบายที่ดี (Best practice) ของแต่ละประเทศ โดยไม่มีการออกมาตรการบังคับสำหรับประเทศสมาชิก แต่มีการยึดถือมาตรฐานบางอย่างร่วมกัน

 

ภายหลังกลุ่ม OECD มีความเห็นว่าการมีสมาชิกเฉพาะประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว หรือประเทศที่มีรายได้สูงนั้นไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนา หรือการดำเนินกิจกรรมในระดับโลก จึงเปิดโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย แต่ประเทศเหล่านั้นจะต้องผ่านมาตรฐานการคัดกรองของกลุ่ม OECD
 
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความต้องการที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม OECD ซึ่งหากเราเข้าร่วมได้จะเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาประเทศอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้เราได้เรียนรู้บทเรียนในการดำเนินนโยบาย และกฎหมายจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
 
ดังนั้น ในการเข้าร่วมกลุ่ม OECD ประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของกลุ่ม โดยหนึ่งในนั้น คือ มาตรฐานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับการเงินพรรคการเมือง ซึ่งคุณณัชชาภัทร ได้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “การเงินพรรคการเมืองไทย: ข้อมูลการสำรวจและข้อเสนอแนะ” โดย อรรถสิทธิ์ พานแก้ว และณัชชาภัทร อมรกุล

กลุ่ม OECD ให้ความสำคัญกับการเงินพรรคการเมือง

จากงานศึกษานี้ พบว่า กลุ่ม OECD ให้ความสำคัญกับประเด็นการเงินพรรคการเมือง เพราะเห็นว่าความเพียงพอและที่มาของเงินทุนที่ใช้ในพรรคการเมืองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีการเมืองที่ดี
 
และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ด้านการเงินพรรคการเมืองของประเทศในกลุ่ม OECD พบว่า ทุกประเทศมีกฎหมายกำกับดูแลด้านการเงินพรรคการเมืองแต่กลับพบว่ามีเพียงร้อยละ 66 ของประเทศสมาชิกเท่านั้นที่สามารถนำมาตราการทางกฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้ได้จริง และมีเพียงร้อยละ 55 ของประเทศสมาชิกเท่านั้นที่มีการบังคับใช้กฎหมายด้านการเงินพรรคการเมืองอย่างเข้มข้น
 
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการขาดศักยภาพ อำนาจทางกฎหมาย ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญของหน่วยงานกำกับดูแลการเลือกตั้งของแต่ละประเทศ อีกทั้ง ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความลื่นไหลของเงินทุนที่มีช่องทางและรูปแบบการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองที่หลากหลายทำให้การตรวจสอบและควบคุมเป็นไปได้ยาก
 
อย่างไรก็ดี ประเทศสมาชิกกลุ่ม OECD ประสบความสำเร็จในการออกกฎหมายด้านการควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ให้เข้าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับพรรคการเมืองผ่านการออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง โดยมีข้อกำหนดห้ามเอกชนบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองแบบไม่ระบุตัวตน และห้ามพรรคการเมืองรับเงินบริจาคจากรัฐวิสาหกิจและต่างชาติ ซึ่งประเทศสมาชิกกลุ่ม OECD ถึงร้อยละ 80 ได้ออกกฎหมายที่สอดคล้องกับข้อกำหนดดังกล่าว
 
แม้ว่าข้อกำหนดดังกล่าวจะยังไม่สามารถจัดการกับกรณีบริจาคเงินโดยใช้นอมินี (Nominee) หรือตัวแทนได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถทำให้การดำเนินการดังกล่าวทำได้ยากขึ้น ซึ่งหากประเทศไทยต้องการเข้าร่วมกลุ่ม OECD ก็จำเป็นต้องพิจารณาข้อกำหนดด้านการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองร่วมด้วย

ความท้าทายของการทำข้อมูลเปิด (Open Data) 

ในด้านการทำข้อมูลเปิด (Open Data) พบว่า แม้ประเทศในกลุ่ม OECD จะมีการเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการเงินพรรคการเมือง แต่ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้ทุกคนเข้าถึงได้ ทำให้ต้องทำเรื่องขอเอกสาร เนื่องจากข้อจำกัดด้านศักยภาพของแพลตฟอร์มที่ใช้เผยเเพร่ข้อมูลของหน่วยงานกำกับดูแลการเลือกตั้งในประเทศกลุ่มสมาชิก OECD
.
นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคจากพรรคการเมืองที่ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูล เนื่องจากมีการดำเนินกิจกรรมที่ไม่โปร่งใส ประกอบกับสถานการณ์การรวมกลุ่มเพื่อสร้างพรรคการเมืองโดยประชาชน หรือกลุ่มอาชีพในปัจจุบันมีน้อยลง ทำให้พรรคการเมืองมีความเชื่อมโยงกับประชาชนและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนน้อยลงตามไปด้วย
 
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีระบบนิเวศในการควบคุมการเงินพรรคการเมืองเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยการเพิ่มอำนาจ หรือศักยภาพขององค์การที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง และกระตุ้นให้ประชาชนเรียกร้องต่อพรรคการเมืองเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่โปร่งใส

บทบาทของกกกต. ในการกำกับดูเเลการเลือกตั้ง

เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในประเทศไทย พบว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการเลือกตั้งของไทยเมื่อเทียบกับประเทศกลุ่ม OECD ยังขาดการถูกตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อีกทั้ง ยังมีปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมายที่ประชาชนรู้สึกว่ามีการเลือกปฏิบัติ กรอบเวลาการดำเนินการที่ไม่ชัดเจน ความเร็วในการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายที่ไม่เท่าเทียม และความชัดเจนในการสื่อสารกับประชาชน ประเด็นดังกล่าว ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคประชาชนต่อการดำเนินการของ กกต.
 
ด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินพรรคการเมืองของไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 3 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมการกำกับดูแลการเงินพรรคการเมืองทั้งในด้านรายรับรายจ่าย เงินบริจาค การแสดงบัญชีพรรคการเมือง ค่าใช้จ่ายเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง และการแสดงบัญชีของผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลผู้สมัครรับเลือกตั้ง
 
แต่ยังคงมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ เพราะข้อมูลที่เผยแพร่มักอยู่ในรูปแบบของเอกสารแสกน หรืออาจต้องทำเรื่องขอข้อมูล รวมถึงยังขาดความเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลทางภาษี ข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจ เป็นต้น ทำให้สามารถนำมาตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้ยาก โดยเฉพาะกรณีการบริจาคเงินโดยใช้นอมินี
 
ประกอบกับ กกต. ที่ไม่มีอำนาจและกำลังคนเพียงพอในการดำเนินการตรวจสอบข้อมูล จึงส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่กฎหมายได้อนุญาตให้บุคคลสามารถบริจาคให้พรรคการเมืองได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นวงเงินที่สูงเกินไปสำหรับรายได้ของคนไทย ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ใช้ในการบริจาคเงินผ่านนอมินีได้ และกฎหมายยังอนุญาตให้บริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจสามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้ ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับพรรคการเมือง

การกำกับดูแลพรรคการเมืองแบบไทย ๆ 

นอกจากนี้ ในการกำกับดูแลพรรคการเมืองไทย ยังมีประเด็นด้านการได้รับความช่วยเหลือที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงิน ที่เรียกว่า “บุญคุณ” ที่ต้องตอบแทน ซึ่งตรวจสอบได้ยาก เช่น การอำนวยความสะดวก การสนับสนุนเครื่องมือ/อุปกรณ์การจัดกิจกรรมต่าง ๆ
 
และปัญหาด้านค่านิยมที่เกิดจากมุมมองของคนไทยว่าประชาชนควรได้รับความช่วยเหลือจากพรรคการเมือง แทนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม หรือขับเคลื่อนพรรค ทำให้พรรคการเมืองต้องแสวงหาเงินจากกลุ่มทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการของพรรค นำไปสู่การขาดความยึดโยงกับความต้องการของประชาชนของพรรคการเมือง ขณะเดียวกันประชาชนก็ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมในพรรคการเมือง
 
ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกและพรรคการเมืองของประเทศในกลุ่ม OECD ที่มีการดำเนินการแบบบริษัท ทำให้พรรคการเมืองมีรายได้จากสมาชิก ส่งผลให้เมื่อพรรคการเมืองจะดำเนินการใด ๆ ต้องคำนึงถึงความเห็นของสมาชิกด้วย ขณะที่สมาชิกก็มีความรู้สึกเป็นเจ้าของพรรคการเมืองจากการจ่ายเงินของตน จึงเกิดการติดตามและตรวจสอบการดำเนินการของพรรคการเมือง

4 ข้อเสนอเเนะยกระดับความโปร่งใสของการเงินพรรคการเมืองตามมาตรฐาน  OECD

ดังนั้น เพื่อให้ยกระดับความโปร่งใสของการเงินพรรคการเมืองตามมาตรฐานของกลุ่ม OECD คุณณัชชาภัทรได้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
 
  1. การสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ กกต. ด้วยการดำเนินการด้านการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและนำไปใช้งานได้อย่างสะดวก โดย กกต. ควรสืบสวนและฟ้องร้องอย่างเท่าเทียม ภายใต้กรอบเวลาดำเนินการที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน มีการเปิดเผยผลการสืบสวนสอบสวนหรือลงโทษ และร่วมมือกับสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเชิงรุกให้ประชาชนได้รับข้อมูลดังกล่าวอย่างทั่วถึง
  2. ควรลดจำนวนเงินต่อปีที่บุคคลสามารถบริจาคให้พรรคการเมืองลง และมีช่องทางการบริจาคที่สะดวกมากขึ้น เมื่อพรรคการเมืองได้รับเงินจากหลายบุคคล จะช่วยลดอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คนได้
  3. ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูล เช่น ข้อมูลทางภาษี การจดทะเบียนบริษัท เพื่อให้เกิดความสะดวกและความชัดเจนในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองและการบริจาคเงินให้กับนักการเมือง โดยอาจพัฒนาระบบการบริจาคให้มีลักษณะคล้ายกับ e-Donation ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับระบบภาษีได้
  4. ควรดำเนินการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความเป็นเจ้าของ และปรับเปลี่ยนมุมมองของประชาชนจากผู้รอได้รับความช่วยเหลือจากพรรคการเมือง กลายเป็นผู้ติดตามและตรวจสอบพรรคการเมือง ซึ่งทำให้เกิดความโปร่งใสและสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งให้กับประเทศไทยได้
ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
9 กันยายน 2568
ผู้แต่ง

เรียบเรียงโดย ศุภชัย เสถียรหมั่น

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ส่องการตรวจสอบทรัพย์สินเจ้าหน้าที่รัฐ : บทเรียนจาก 3 ชาติ

ความโปร่งใสในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชน KRAC จึงอยากชวนมาดูกลไกการตรวจสอบทรัพย์สินของสหรัฐฯ จอร์เจีย และฮ่องกง พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ชวนส่องความเสี่ยงทุจริต ของ 5 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย

รัฐธรรมนูญปี 2540 เปิดทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารตนเองเพื่อตอบโจทย์ชุมชน และลดภาระจากส่วนกลาง แต่กลับไม่ได้มาพร้อมกลไกตรวจสอบที่เพียงพอ จนทำให้หลายพื้นที่กลายเป็นแหล่งอิทธิพลทางการเมืองท้องถิ่นและการตรวจสอบงบประมาณเป็นไปได้ยาก

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | จากศรัทธาสู่เงินทอน เมื่อวัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงินทุจริต

เมื่อศรัทธาและเงินสนับสนุนกลายเป็นช่องทางฟอกเงิน ค้นพบเบาะเเสสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบได้ในบทความนี้

You might also like...

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 4 แนวทางสืบสวนคดีคอร์รัปชันของสหรัฐฯ แคนาดา ฮ่องกง สิงคโปร์ เขาทำอย่างไรกันบ้าง ?

“เปิดเลนส์ข่าวกรอง” ชวนสำรวจแนวทางสืบสวนคดีคอร์รัปชันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในคดีที่ซับซ้อน มีอิทธิพลเกี่ยวข้อง หรือมีความพยายามปกปิดร่องรอยอย่างเป็นระบบ แต่ละประเทศมีแนวทางอย่างไรบ้าง มาดูกัน

คิดด้วยพลเมือง(See-Think-Cen’) : สะใจเรา ลำบากเขา : เมื่อเราก้าวข้าม ‘ความเป็นชาติ’ ไม่พ้น เลยขาด ‘ความเป็นคน’ ในสงคราม

เมื่อ “ความเป็นชาติ” ถูกยกสูงกว่าความเป็นคน ความเกลียดชังก็ถูกทำให้ชอบธรรม ชวนอ่านมุมมองต่อเหตุปะทะไทย-กัมพูชา และกับดักชาตินิยมที่ฝังลึกในสังคม

KRAC Insight | เมื่อวัดต้องมีระบบ: เพราะศรัทธาต้องการมากกว่าแค่ความเชื่อ

ตั้งแต่เรื่องเงินวัด สีกา ยันการทุจริต “วัดควรบริหารจัดการอย่างไรให้โปร่งใส?” และ “ใครควรรับผิดชอบ?” ชวนหาคำตอบไปกับ KRAC Expert “คุณสุภอรรถ โบสุวรรณ”