KRAC Insights I การวัดระดับการคอร์รัปชันและอาชญากรรมสำคัญอย่างไร และมีไว้เพื่ออะไร

การวัดระดับการคอร์รัปชันและอาชญากรรมสำคัญอย่างไร และมีไว้เพื่ออะไร


คอร์รัปชันถือเป็นปัจจัยสำคัญในการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ และในทางกลับกันอาชญากรรมข้ามชาติก็ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการคอร์รัปชันเช่นเดียวกัน ดังนั้น อาชญากรรมข้ามชาติและการคอร์รัปชันจึงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราจะวัดระดับการคอร์รัปชันและการก่ออาชญากรรมได้อย่างไร และวัดเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

ทำความรู้จัก ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ (Global Organized Crime Index) 

ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ (Global Organized Crime Index) ซึ่งถูกพัฒนาโดยองค์กร Global Initiative Against Transnational Organized Crime (GI-TOC) สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกในทุกมิติของการก่ออาชญากรรมและการคอร์รัปชัน

 

ไม่ว่าจะเป็นระดับของการแพร่กระจาย และการกระจุกตัวของอาชญากรรมและปัญหาคอร์รัปชัน หรือผลกระทบจาก “กลุ่มผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับรัฐ” (state-embedded actors) ที่มีต่อการคอร์รัปชันในเชิงระบบ นอกจากนี้ ดัชนีดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของคอร์รัปชันที่มีต่อการกำหนดนโยบายและการเพิ่มขีดความสามารถของรัฐบาลและสังคมในการรับมือกับภัยคุกคามจากอาชญากรรมข้ามชาติ


KRAC Corruption ชวนทุกคนมาร่วมกันสำรวจวิธีการที่องค์การระหว่างประเทศอย่าง GI-TOC ใช้ในการวัดระดับการคอร์รัปชันในประเทศต่าง ๆ ผ่านการบรรยายพิเศษ โดยคุณ Kristina Amerhauser นักวิจัยอาวุโสจาก GI-TOC ในรายวิชา 2952336 Economics of Anti-corruption คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในการบรรยายครั้งนี้ คุณ Kristina ได้บรรยายถึงความสำคัญของการวัดระดับการคอร์รัปชันและการก่ออาชญากรรมข้ามชาติใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. ความเชื่อมโยงระหว่างอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (Organized Crime) และการคอร์รัปชัน
  2. วัตถุประสงค์และวิธีวิทยาในการวัดประเมินของดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ
  3. การประยุกต์ใช้ดัชนีเพื่อวัดระดับและทำความเข้าใจปัญหาการคอร์รัปชัน

ความเชื่อมโยงระหว่างอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (Organized Crime) และการคอร์รัปชัน

คุณ Kristina เริ่มต้นการบรรยายด้วยการอธิบายคำนิยามเบื้องต้นของคำว่า ‘อาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (Organized Crime)’  โดยกล่าวว่า แม้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (United Nations Convention against Transnational Organized Crime: UNTOC) จะไม่ได้ให้คำจำกัดความของคำนี้ไว้โดยตรง แต่ก็ได้ให้คำจำกัดความของคำนี้ในลักษณะของ ‘กลุ่มอาชญากรรม (Criminal group)’ ซึ่งมีลักษณะเป็นกลุ่มบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปที่มีโครงสร้างและมีความร่วมมือในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยมีเป้าหมายในการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรง

ในส่วนขององค์กร GI-TOC ได้ให้คำนิยามของคำนี้ไว้ว่า ‘เป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมายซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มหรือเครือข่าย โดยอาศัยความรุนแรงและการคอร์รัปชัน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทั้งภายในประเทศหรือข้ามพรมแดน’

อีกทั้ง คุณ Kristina ยังได้กล่าวถึงนิยามของคำว่า ‘การคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ (Organized Corruption)’ ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยองค์กรอาชญากรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงิน การเมือง หรือสังคม โดยอาศัยอำนาจและการคุ้มครองทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง ทั้งนี้ การคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบดังกล่าว ถือเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้มากขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คุณ Kristina ยังได้เน้นย้ำว่า การคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบเกิดจากผลประโยชน์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มอาชญากรรม กลุ่มการเมือง และกลุ่มเศรษฐกิจ ซึ่งการคอร์รัปชันทำให้เส้นแบ่งของทั้งสามกลุ่มนี้เลือนรางมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและติดตามพลวัตของทั้งองค์กรอาชญากรรมและการคอร์รัปชันได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องอาศัย “ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ” (Organized Crime Index) มาใช้เป็นเครื่องมือในการวัดและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองประเด็นนี้

วัตถุประสงค์และวิธีวิทยาในการวัดประเมินของดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ

ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติถูกจัดทำขึ้น เพื่อวัดความเข้มข้นของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในมิติของการก่ออาชญากรรม รวมถึงมีการแบ่งแยกรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำผิด อีกทั้งยังเป็นการประเมินความเข้มแข็งของประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 ประเทศ ในการรับมือกับปัญหาอาชญากรรมเหล่านี้ โดยแบ่งองค์ประกอบของการประเมินออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  1.  การกระทำผิดทางอาญา (Criminality) ซึ่งครอบคลุมทั้งในมิติของตลาดอาชญากรรม (criminal market) และผู้กระทำผิด
  2. ความเข้มแข็งของรัฐบาลในการรับมืออาชญากรรมข้ามชาติ (Resilience to Organized Crime)

ในส่วนขององค์ประกอบด้านการกระทำผิดทางอาญานั้น ทาง GI-TOC ได้อธิบายผ่านแผนภาพพีระมิดอาชญากรรม (Criminality Pyramid) ที่ได้แบ่งการกระทำผิดทางอาญาออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 

  1. ตลาดอาชญากรรม
  2. ผู้กระทำอาชญากรรม

ตลาดอาชญากรรมเป็นดัชนีที่ครอบคลุมลักษณะของการก่ออาชญากรรมทั้งหมด 15 ประเภท ได้แก่ การค้ามนุษย์ (Human Trafficking) การลักลอบขนคนเข้าเมือง (Human Smuggling) การรีดไถและการเรียกค่าคุ้มครองโดยมิชอบ (Extortion & Protection Racketeering) การลักลอบค้าขายอาวุธ (Arms Trafficking) การค้าสินค้าปลอม (Counterfeit Goods) การค้าสินค้าบริโภคที่หลีกเลี่ยงภาษี (Illicit Trade of Excise Consumer Goods) อาชญากรรมเกี่ยวกับพืชพรรณ (Flora Crimes) อาชญากรรมเกี่ยวกับสัตว์ป่า (Fauna Crimes) อาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพยากรที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ (Non-Renewable Resource Crimes) การค้ายาเสพติดประเภทเฮโรอีน (Heroin Trade) การค้ายาเสพติดประเภทโคเคน (Cocaine Trade) การค้ายาเสพติดประเภทกัญชา (Cannabis Trade) การค้ายาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs Trade) อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrimes) และอาชญากรรมทางการเงิน (Financial Crimes)

อีกทั้งในส่วนที่ 2 ของพีระมิดอาชญากรรมนั้น เป็นส่วนของผู้กระทำผิด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

  1. กลุ่มมาเฟีย
  2. เครือข่ายอาชญากรรม
  3. เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
  4. ผู้ก่ออาชญากรรมจากต่างประเทศ
  5. ผู้ก่ออาชญากรรมจากภาคเอกชน

โดยประเภทของผู้กระทำผิดที่พบได้มากที่สุด คือ เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบุคคลที่ควรเป็นผู้ปราบปรามอาชญากรรมนั้น กลับกลายเป็นหนึ่งในผู้กระทำความผิดเสียเอง

สำหรับความเข้มแข็งของรัฐในการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติ ทาง GI-TOC ได้นำเสนอภาพจำลองของดัชนีนี้ในรูปแบบ “กำแพงในการรับมือ” (resilience wall) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันและเปรียบเสมือนกำแพงล้อมรอบพีระมิดอาชญากรรม โดยการวัดประเมินความเข้มแข็งของรัฐ จะพิจารณาจากความสามารถของแต่ละประเทศในการป้องกัน จัดการ และตอบสนองต่ออาชญากรรมข้ามชาติ และเมื่อองค์ประกอบของความเข้มแข็งของรัฐมีความมั่นคงและได้คะแนนสูง กำแพงที่ล้อมรอบพีระมิดอาชญากรรมก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของประเทศนั้นในการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ คุณ Kristina ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ดัชนีดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ โดยเริ่มต้นจากการจัดทำสรุปข้อมูลพื้นฐานของแต่ละประเทศ โดยอ้างอิงจากข้อมูลสาธารณะที่น่าเชื่อถือและแหล่งข้อมูลที่เปิดเผย จากนั้นตัวชี้วัดทั้งหมดจะถูกประเมินและให้คะแนนอย่างอิสระโดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ทั้งนี้ ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ จะมีการเผยแพร่ผลการประเมินในทุก ๆ สองปี

 

โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกแสดงผลที่ เว็บไซต์ ocindex.net ซึ่งมีการสรุปข้อมูลของแต่ละประเทศ รวมถึงแสดงตัวชี้วัดด้านอาชญากรรม และระดับความเข้มแข็งของรัฐในการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติ

การประยุกต์ใช้ดัชนีเพื่อวัดระดับและทำความเข้าใจปัญหาการคอร์รัปชัน

คุณ Kristina ได้เน้นย้ำว่าวัตถุประสงค์ของดัชนีดังกล่าว คือ การวัดระดับของปัญหาอาชญากรรม โดยใช้มาตรวัดตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 10 ซึ่งจะช่วยให้สามารถประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านความรุนแรงและความแพร่หลายของอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนสามารถประเมินประสิทธิภาพของประเทศต่าง ๆ ในการตอบโต้และรับมือกับอาชญากรรมเหล่านั้น อีกทั้ง ดัชนีดังกล่าวไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่เพื่อแสดงผลเป็นตัวเลขเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการถกเถียงและหารือกันอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติ

คุณ Kristina เสริมว่า แม้ปัญหาคอร์รัปชันจะไม่ได้ถูกระบุเป็นตัวชี้วัดโดยตรงในดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับโลก แต่ความเป็นจริงแล้ว การคอร์รัปชันได้แทรกซึมอยู่ในทุกองค์ประกอบหลักของดัชนีดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของตลาดอาชญากรรม ซึ่งการคอร์รัปชันทำหน้าที่เป็นปัจจัยที่เพิ่มความรุนแรงและความซับซ้อนของอาชญากรรมต่าง ๆ กล่าวคือ หากอาชญากรรมประเภทใดมีระดับการคอร์รัปชันที่สูงกว่าปกติ ปัญหาอาชญากรรมนั้นก็จะได้รับคะแนนสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนั้น ในส่วนของผู้กระทำผิด การคอร์รัปชันมักปรากฏอยู่ในรูปแบบของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรม หรือมีการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อเอื้อให้เกิดอาชญากรรมประเภทอื่น ๆ ตามมา และในส่วนของความเข้มแข็งของรัฐนั้น ได้มีกำหนดตัวชี้วัดด้านคอร์รัปชันไว้อย่างชัดเจน เช่น ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล ซึ่งสามารถใช้ประเมินขีดความสามารถของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชัน และการทำหน้าที่เป็นกลไกตรวจสอบภายในสถาบันของรัฐโดยตรง

ดังนั้น ดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติ จึงถือเป็นภาพสะท้อนสำคัญที่ช่วยทำให้เห็นถึงการขยายตัวของอาชญากรรมข้ามชาติ และแนวทางการรับมือของแต่ละประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในการกำหนดนโยบาย และมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ดัชนีดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของภาคประชาสังคม ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของดัชนีด้านการรับมือกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ของภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันและอาชญากรรมข้ามชาติกำลังหดตัวลงทั่วโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนักกิจกรรมและองค์กรภาคประชาสังคมจำนวนมากต้องเผชิญกับการคุกคาม การจับกุม หรือแม้กระทั่งการใช้ความรุนแรงจากทั้งภาครัฐและกลุ่มอาชญากรรมต่าง ๆ

 

ในช่วงสุดท้ายของการบรรยาย คุณ Kristina สรุปว่า การต่อต้านและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการรับมือกับปัญหาอาชญากรรมของแต่ละประเทศ จนสามารถที่จะทำหน้าที่เป็นกำแพงปกป้องพีระมิดอาชญากรรมได้

 

ดังนั้น การจัดทำดัชนีอาชญากรรมข้ามชาติระดับนานาชาติในทุก ๆ 2 ปี จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการประเมินอาชญากรรมสำหรับทุกประเทศอย่างรอบด้าน

การบรรยายสาธารณะนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา 2952336 Economics of Anti-corruption ดำเนินการเรียนการสอนโดย  รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มุ่งเน้นศึกษาหลักเศรษฐศาสตร์เพื่อตีความและวิเคราะห์ปัญหาคอร์รัปชันในมิติกฎหมายและนโยบายสาธารณะ ทำความเข้าใจกลไก แรงจูงใจ และผลกระทบทางเศรษฐกิจของการทุจริต พร้อมสำรวจแนวทางเชิงเศรษฐศาสตร์ในการออกแบบมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

ปีที่แต่ง (พ.ศ.)
2568
ผู้แต่ง

ศรันย์ชนก ลิมวิสิฐธนกร

หน่วยงานสนับสนุน
05_โลโก้ KRAC
โลโก้คณะเศรษฐศาสตร์ (ภาษาไทย)

หัวข้อ
Related Content

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ตัดจบปัญหาคอร์รัปชัน ผ่านการสร้าง Big Data

Big Data มีความสำคัญอย่างมากในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะสามารถนำข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐที่ถูกจัดเก็บไว้มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการคอร์รัปชันได้ หากใช้งานข้อมูลให้เป็น จะช่วยอุดช่องโหว่ความเสี่ยงคอร์รัปชันได้

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | การต่อต้านการทุจริตอาจต้องเริ่มที่ความเข้าใจของประชาชน

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรับรู้ข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 1,041 คน ในปี 2562 ชี้คนไทยครึ่งประเทศไม่รู้ว่า ตัวเองมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช.

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | 3 มุมมองจากผู้รู้ สู่การแก้โกงจากการใช้ดุลยพินิจของรัฐ

เมื่อดุลยพินิจมากเกินไป แก้อย่างไรถึงจะเห็นผล ? ในการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของรัฐต่างก็ต้องมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยสามารถใช้ดุลยพินิจของตนเพื่อตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หลายครั้งการวินิจฉัยกลับไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม หรือเป็นการวินิจฉัยที่เบี่ยงเบนไปตามความพึงพอใจ อคติ หรือเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเกิดเป็นการ “ทุจริต”

You might also like...

KRAC Extract | ทรัพย์สินที่ไม่ควรอยู่ในเงามืด: เมื่อความโปร่งใสคือพันธกิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

หลายประเทศพัฒนาระบบเปิดเผยรายได้ ผลประโยชน์ และทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ตรวจสอบได้ โปร่งใส และลดผลประโยชน์ทับซ้อน KRAC Extract สรุปงานวิจัย “Improving and Enforcing Income, Interest and Asset Declaration Systems” (2024) ที่ชี้แนวทางสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบในภาครัฐอย่างยั่งยืน

KRAC Hot News I เปิดข้อมูลคาร์บอน หัวใจสำคัญแก้ปัญหามลพิษไทย

ข่าวดี! สภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด วาระ 3 แล้ว กฎหมายสำคัญที่ใช้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” เพื่อแก้ PM 2.5 อย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการเปิดเผย “ข้อมูลคาร์บอน” ที่โปร่งใส มาตรฐานเดียว และเข้าถึงได้ เพื่อให้รัฐ เอกชน และประชาชนร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | เจ้าหน้าที่รัฐเข้าใจ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ต่ำกว่าครึ่ง ทั้งที่เป็นจุดเริ่มต้นของคอร์รัปชัน

งานวิจัยปี 2561 พบว่าเจ้าหน้าที่ อบจ. ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจหลัก Conflict of Interest อย่างแท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง สะท้อนถึงช่องโหว่สำคัญในระบบราชการที่ต้องเร่งสร้างความรู้และความโปร่งใสอย่างเร่งด่วน