ทำไมครูและสื่อมวลชนถึงมีความสำคัญในการป้องกันการคอร์รัปชัน
คุณอาจจะคุ้นเคยกับกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่มุ่งเป้าไปที่การลงโทษนักการเมืองหรือข้าราชการที่ทุจริต แต่เคยได้ยินไหมว่ามีกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่ครอบคลุมไปถึง “ครู” และ “สื่อมวลชน” ด้วย ?
KRAC คัดสรรชวนอ่านงานวิจัย “การสังเคราะห์การทุจริตเชิงนโยบายเพื่อการออกแบบระบบและพัฒนากลไกการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายของไทย” โดย พัชรวรรณ นุชประยูร และคณะ (2563)
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการทุจริตเชิงนโยบายเพื่อการออกแบบระบบและพัฒนากลไกการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายให้ครอบคลุมกระบวนการทางนโยบายทุกขั้นตอน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการศึกษากลไกป้องกันการคอร์รัปชันเชิงนโยบายในต่างประเทศ ทำให้พบว่าประเทศเกาหลีมีกฎหมายป้องกันคอร์รัปชันที่น่าสนใจ ที่เรียกว่า กฎหมายคิมยองรัน
กฎหมายคิมยองรัน (Kim Young – ran Law) คืออะไร
กฎหมายคิมยองรัน (Kim Young – ran Law) เป็นกฎหมายที่กำหนดใช้ใน พ.ศ. 2559 จากการผลักดันของนางคิม ยองรัน อดีตประธานคณะกรรมการสิทธิพลเมืองและต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ACRC) โดยกฎหมายมุ่งเน้นการป้องกันการทุจริตและส่งเสริมความโปร่งใสในสังคมเกาหลีใต้ ที่น่าสนใจคือ กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่แค่เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงบุคคลในแวดวงอื่น ๆ ด้วย เช่นครูและสื่อมวลชน
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมกฎหมายนี้ถึงต้องครอบคลุมไปถึงครูและสื่อมวลชนด้วย เหตุผลก็คือ ทั้งสองกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการชี้นำสังคมและมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของประชาชน การให้หรือรับผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ ดังนี้
- ครู : มีหน้าที่ให้ความรู้และอบรมสั่งสอนนักเรียน หากครูรับผลประโยชน์จากผู้ปกครองหรือสถาบันภายนอก อาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติหรือไม่เป็นธรรมในการให้คะแนนหรือการดูแลนักเรียน นอกจากนี้ การรับผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมยังอาจส่งผลต่อจริยธรรมของครู และส่งผลเสียต่อการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน
- สื่อมวลชน : มีหน้าที่นำเสนอข่าวสารและข้อมูลแก่ประชาชน หากสื่อมวลชนรับผลประโยชน์จากแหล่งข่าวหรือกลุ่มผลประโยชน์ใด ๆ อาจทำให้เกิดการบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือไม่นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนเอง
ข้อกำหนดที่เข้มงวดจากกฎหมายคิมยองรัน
จะเห็นได้ว่าทั้งสองอาชีพมีบทบาทสำคัญต่อสังคม ครูส่งผลต่อนักเรียนที่จะเติบโตในอนาคต สื่อมวลชนส่งผลต่อประชาชนผู้รับข่าว กฎหมายคิมยองรันจึงได้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับมูลค่าของขวัญ, ของฝาก, หรือการเลี้ยงอาหาร เพื่อไม่ให้เกิดการติดสินบนซึ่งอาจกระทบต่อหน้าที่
ตัวอย่างเช่น หากมีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนด ผู้รับและผู้ให้จะถูกลงโทษ กฎหมายกำหนดมูลค่าสูงสุดของของขวัญและของฝากไว้ที่ 1 ล้านวอน (ประมาณ 27,000 บาท) ต่อครั้ง และไม่เกิน 5 ล้านวอน (ประมาณ 135,000 บาท) ต่อปี
หรือการเลี้ยงอาหารก็มีมูลค่าสูงสุดที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการเลี้ยงอาหารที่มีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งอาจเป็นการให้สินบนในรูปแบบหนึ่ง กฎหมายกำหนดมูลค่าสูงสุดของการเลี้ยงอาหารไว้ที่ 30,000 วอน (ประมาณ 800 บาท) ต่อคน
การฝ่าฝืนกฎหมายคิมยองรันมีบทลงโทษที่รุนแรง ทั้งปรับและจำคุก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการทุจริตอย่างจริงจัง เช่น
- การรับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนด ผู้รับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนด จะถูกปรับเป็นเงิน 2-5 เท่าของมูลค่าผลประโยชน์ และอาจถูกจำคุกไม่เกิน 3 ปี
- การให้ผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนด: ผู้ให้ผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนด จะถูกปรับเป็นเงินไม่เกิน 30 ล้านวอน (ประมาณ 800,000 บาท)
กฎหมายคิมยองรัน ช่วยให้สังคมโปร่งใสมากขึ้น
การออกกฎหมายคิมยองรันมีผลกระทบอย่างมากต่อสังคมเกาหลีใต้ ทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเกาหลีใต้ระมัดระวังในการให้และรับผลประโยชน์มากขึ้น และมีการจัดกิจกรรมทางสังคมที่เรียบง่ายขึ้น และป้องกันการทุจริตในแวดวงราชการ การศึกษา และสื่อมวลชน ซึ่งทำให้สังคมเกาหลีใต้มีความโปร่งใสมากขึ้น
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย แม้เราจะมีกฎหมายป้องกันการทุจริตของข้าราชการ แต่เราไม่ได้มีกฎหมายที่ครอบคลุมไป อาชีพอื่น ๆ ที่มีความสำคัญโดยตรง เช่น ครู หรือสื่อมวลชนแบบกฎหมายคิมยองรัน
กฎหมายนี้จึงอาจช่วยให้เราพิจารณาว่ากฎหมายที่มีอยู่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ในการป้องกันการทุจริตในทุกภาคส่วน การศึกษากฎหมายคิมยองรันจึงอาจเป็นประโยชน์ในการพัฒนากฎหมายและกลไกที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยต่อไป
ประเด็นเรื่องกฎหมายคิมยองรัน เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การสังเคราะห์การทุจริตเชิงนโยบายเพื่อการออกแบบระบบและพัฒนากลไกการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายของไทย” โดย พัชรวรรณ นุชประยูร และคณะ (2563) งานวิจัยยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การศึกษากลไกการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศจีน ประเทศไต้หวัน ประเทศญี่ปุ่น โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
พัชรวรรณ นุชประยูร, อมรรัตน์ กุลสุจริต, สุปรียา แก้วละเอียด, ศักดิ์วุฒิ วิบูลสมัย และกวินา กิจกำแหง. (2563). การสังเคราะห์การทุจริตเชิงนโยบายเพื่อการออกแบบระบบและพัฒนากลไกการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายของไทย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I มันจบแล้วครับ…(ถ้า) นาย (โกง) : รู้จักกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะทุจริต
การแจ้งเบาะแส เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถลดการคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคงไม่มีใครให้มีข้อมูลเชิงลึกได้เท่า “คนใน” องค์กรเอง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนในองค์กรไม่กล้าให้แจ้งเบาะแสทุจริต คือ “ความกลัว”
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก 3 แนวทาง Support ผู้แจ้งเบาะแสทุจริต
ยิ่งมีคนแจ้งเบาะแสมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการตรวจสอบและช่วยนำคนผิดมาลงโทษมากเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนที่มีข้อมูลไม่อยากแจ้งเบาะแส เพราะกลัวว่าถ้าแจ้งไปแล้วก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รางวัลแด่คนช่าง “แจ้ง”
กุญแจสำคัญที่จะช่วยจัดการคอร์รัปชันได้ คือ “การมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส” เพราะถ้าทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบคอร์รัปชันภายในหน่วยงานรัฐ ช่วยกันแจ้งเบาะแส จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐรู้สึกกดดัน กลัวจะถูกจับได้และไม่กล้าคอร์รัปชัน ภาครัฐจึงมีความพยายามอย่างมากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน