องค์กรปกครองท้องถิ่นไทย ความเสี่ยงทุจริตอยู่ที่ไหน ? อะไรคือจุดอ่อน ?
ประเทศไทยมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ด้วยแนวคิดว่าการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตัดสินใจบริหารตนเอง จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายตรงความต้องการของชุมชนและช่วยลดภาระรัฐส่วนกลางได้
แต่ในความเป็นจริง อำนาจที่กระจายไปไม่ได้มาพร้อมกับกลไกตรวจสอบที่กระจายตาม ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนมาก กลายเป็นแหล่งรวมอิทธิพลท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น พวกพ้อง ผู้รับเหมา และโครงการงบประมาณที่ตรวจสอบยาก
งานวิจัยเรื่อง “การทุจริตและระดับความเสี่ยงต่อการกระทำการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาค 4” โดยเสาวณีย์ ทิพอุต และคณะ (2566) ทำการศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 12 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เช่น ขอนแก่น อุดรธานี ร้อยเอ็ด สกลนคร ฯลฯ พบว่า การทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจสร้างความเสียหายมากกว่าหลายคนคิด
จัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบการทุจริตที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด
หนึ่งในสถิติที่แสดงถึงความเสียหาย คือข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนทุจริตในองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ส่งมายังสำนักงาน ป.ป.ช. ในช่วงปี 2562–2565 ซึ่งมีทั้งหมด 1,448 เรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว 335 เรื่อง
โดยรูปแบบการทุจริตที่การร้องเรียนมากที่สุดคือ การจัดซื้อจัดจ้าง (57.31%) รองลงมาคือ การบริหารงานบุคคล เช่น แต่งตั้ง-โยกย้ายไม่โปร่งใส (21.49%) และการเบิกจ่ายเงินราชการ (15.22%)
งานวิจัยนี้จึงศึกษาต่อ โดยค้นหา “คะแนนความเสี่ยง” ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีเกณฑ์ให้คะแนนความเสี่ยงเต็ม 25 คะแนน ประเมินจาก 5 ตัวชี้วัดหลัก (โดยภาพรวมคือ โอกาสเกิดเหตุและความรุนแรงของผลกระทบ)
“คะแนนความเสี่ยง” ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- เทศบาลเมือง คะแนนความเสี่ยง 16.15 คะแนน มีความเสี่ยงมาก
- องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คะแนนความเสี่ยง 15.73 คะแนน มีความเสี่ยงมาก
- เทศบาลนคร คะแนนความเสี่ยง 9.00 คะแนน มีความเสี่ยงน้อย
- เทศบาลตำบล คะแนนความเสี่ยง 7.13 คะแนน เสี่ยงน้อย
- องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 5.52 คะแนน เสี่ยงน้อยมาก
7 รูปแบบการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่พบบ่อย
- ตัวบุคคล: ขาดคุณธรรม รู้กฎหมายไม่พอ และมีแรงจูงใจจากภาระทางการเงิน
- ระบบตรวจสอบ: อ่อนแอ ไม่มีการตรวจจากหลายภาคส่วน
- ค่านิยมสังคม: ยกย่องความร่ำรวยและอำนาจ มากกว่าความสุจริต
แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ?
ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินการในหลายระดับควบคู่กัน เริ่มตั้งแต่การกำหนดนโยบายที่เข้มแข็งในระยะสั้น
โดยเน้นให้ผู้นำท้องถิ่นมีคุณธรรม ไม่ใช้อำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการและตรวจสอบการทำงานของภาครัฐอย่างโปร่งใส
ส่วนในระยะกลางและระยะยาว ต้องเน้นการปลูกจิตสำนึกเจ้าหน้าที่ให้ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ผ่านการอบรม การเรียนรู้จากแนวทางพระราชดำริ และการส่งเสริมผู้นำท้องถิ่นให้มีภาวะผู้นำที่แท้จริง ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และสร้างระบบตรวจสอบที่เปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การบริหารงานของท้องถิ่นไม่ใช่เพียงแค่ใกล้ตัว แต่ยังใกล้ใจของประชาชนอย่างแท้จริง
เสนอกำหนดนโยบายจากปัญหาจริงในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยงทุจริตในหลายพื้นที่ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในพื้นที่เดียวกัน กลับเป็นแบบอย่างด้านการบริหารจัดการที่ดี
โดยมีลักษณะร่วมกันที่น่าสนใจ เช่น ผู้นำมีภาวะผู้นำ เปิดรับฟังทุกฝ่าย เข้าถึงง่าย, มีการเปิดข้อมูล เชิญชวนประชาชนร่วมคิด-วางแผน-ตรวจสอบ, การมีนวัตกรรมจากคนในท้องถิ่น และส่งเสริมทีมเวิร์กในองค์กร, วัฒนธรรมองค์กรเป็นแบบพี่น้อง ไม่ใช่สายบังคับบัญชาหลายชั้น, การทำงานบูรณาการกับหน่วยงานภายนอก และ “กำหนดนโยบายจากปัญหาจริงในพื้นที่”
สุดท้ายนี้ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นแม้จะเปิดโอกาสให้ชุมชนบริหารตนเอง แต่หากขาดระบบตรวจสอบและผู้นำที่มีคุณธรรม ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตและใช้อำนาจในทางมิชอบ ขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า หากมีผู้นำที่ดี มีระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และประชาชนให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน ก็สามารถสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่โปร่งใสและเข้มแข็งได้เช่นกัน
กรณีทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหนึ่งในข้อค้นพบของงานวิจัยนี้เท่านั้น ในงานวิจัยยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ความแตกต่างด้านความเสี่ยงระหว่างแต่ละรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เช่น อบต. กับเทศบาลเมือง) การวิเคราะห์ปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และระบบราชการที่เอื้อต่อการทุจริต โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
อนัญญา แม้นโชติ, ธีรวรรณ เอกรุณ, สยาม ธีระบุตร และ ธนพงษ์ ดิษยวณิช. (2566). รูปแบบการทุจริตและปัจจัยที่ก่อให้เกิดการทุจริตในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | เจาะกลโกงลึกเครือข่ายลับ ผู้อยู่เบื้องหลังการทุจริตงบประมาณโรงเรียน
แม้เราจะพูดถึงการปฏิรูปการศึกษามาหลายปี แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่กลับคือเครือข่ายอิทธิพลในระบบการศึกษาที่ทุจริตอย่างเป็นระบบ โดยงานวิจัยนี้ได้เปิดเผยกลไกผลประโยชน์ระหว่างข้าราชการ นักการเมือง และธุรกิจ พร้อมเสนอแนวทางสร้างความโปร่งใสเพื่อยุติวงจรคอร์รัปชันในวงการศึกษาไทย
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ส่องการตรวจสอบทรัพย์สินเจ้าหน้าที่รัฐ : บทเรียนจาก 3 ชาติ
ความโปร่งใสในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชน KRAC จึงอยากชวนมาดูกลไกการตรวจสอบทรัพย์สินของสหรัฐฯ จอร์เจีย และฮ่องกง พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | ลดการโกง ผ่านการสร้างวัฒนธรรมชุมชนที่ดี
หากกล่าวถึง “สาเหตุของคอร์รัปชัน” สิ่งแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงอาจเป็น นักการเมืองที่จ้องจะโกงหรือตัวกฎหมายที่มีช่องว่างให้คนโกง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องใกล้ตัวอย่าง “วัฒนธรรมชุมชน” ก็เป็นหนึ่งในกลไกที่เอื้อให้เกิดการคอร์รัปชันได้เช่นกัน


