สร้างชุมชนที่โปร่งใส” การต่อต้านคอร์รัปชันง่าย ๆ ที่ถูกมองข้าม
เมื่อพูดถึงการต่อต้านคอร์รัปชัน หลายคนอาจนึกถึงหน่วยงานรัฐระดับชาติ หรือกลไกการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่ส่วนสำคัญที่มักจะไม่ถูกนึกถึงเท่าที่ควรคือ “พลังของชุมชน” ที่สามารถเป็นด่านแรกในการป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อชุมชนมีระบบภายในที่เข้มแข็งและประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
KRAC คัดสรรชวนอ่านข้อค้นพบที่น่าสนใจจากงานวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมที่ปลอดคอร์รัปชัน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” โดย อมรรัตน์ กุลสุจริต และคณะ (2561)
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ข้อมูลจากการลงพื้นที่ศึกษาชุมชนในเขตเมืองที่มีบริบทแตกต่างกัน 4 แห่ง ได้แก่ ชุมชนบางบัว ชุมชนพูนทรัพย์ ชุมชนอยู่เจริญวิภาวดี และชุมชนหลังแฟลตร่วมพัฒนา เขตบางกอกน้อย ซึ่งทั้ง 4 ชุมชน เป็นชุมชนที่มีศักยภาพในการพัฒนาเชิงพื้นที่และมีระดับการรวมกลุ่มของประชาชนที่ค่อนข้างเข้มแข็ง
ชุมชนหลังแฟลตร่วมพัฒนา ตัวอย่างการวางระบบตรวจสอบภายในที่เป็นรูปธรรม
KRAC คัดสรร ขอยกตัวอย่าง “ชุมชนหลังแฟลตร่วมพัฒนา” หนึ่งในชุมชนที่มีระบบบริหารจัดการและกลไกการมีส่วนร่วมที่เข้มแข็ง และมีการวางระบบตรวจสอบภายในที่เป็นรูปธรรม
โดยชุมชนหลังแฟลตร่วมพัฒนา มีการจัดระบบตรวจสอบภายในอย่างมีประสิทธิภาพ มีการจัดประชุมประจำเดือนโดยคณะกรรมการชุมชน ซึ่งมีการกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการอย่างชัดเจน เช่น คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการตรวจสอบบัญชี และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ที่ดูแลกิจกรรมของชุมชนในด้านที่ต่างกัน
อีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบที่โปร่งใสและมีการถ่วงดุลของชุมชนแห่งนี้ ก็คือการจัดทำ “ระบบบัญชีชุมชน” อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย
- บัญชีรายรับ-รายจ่ายแบบง่าย
- รายงานสรุปรายรับรายจ่ายประจำเดือน
- บัญชีการรับจ่ายสิ่งของบริจาค
โดยทุกบัญชีถูกเปิดให้สมาชิกชุมชนสามารถเข้ามาตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นผ่านการประชุม หรือการติดบอร์ดประชาสัมพันธ์ เพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกได้รับรู้และสามารถตั้งคำถามได้
นอกจากนี้คณะกรรมการชุมชนยังมีการกำหนด “ระเบียบชุมชน” ที่ชัดเจน เช่น ต้องสรุปรายจ่ายหลังจบกิจกรรมภายใน 15 วัน และต้องมีกรรมการไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 คนร่วมลงนามในการเบิกจ่ายเงิน โดยถือเงินสดในมือไม่เกิน 3,000 บาทต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้เงินโดยไร้การควบคุม
ที่สำคัญคือการเปิดให้ “เครือข่ายชุมชนภายนอก” เช่น หน่วยงานท้องถิ่น หรือกลุ่มภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมตรวจสอบบัญชี ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งมาตรการถ่วงดุลที่สร้างความมั่นใจให้ชาวบ้าน และช่วยให้การบริหารชุมชนไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
กุญเเจสำคัญ คือ การสร้างระบบที่เอื้อต่อความโปร่งใสในระดับปฏิบัติการ
ความสำเร็จของชุมชนหลังแฟลตร่วมพัฒนาไม่ได้เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย แต่เกิดจาก “การมีระบบภายในที่ประชาชนร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อน” ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำระเบียบชุมชน การมีช่องทางร้องเรียน การระดมความคิดเห็นในกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมร่วมที่ไม่ยอมรับการทุจริตแม้ในเรื่องเล็ก ๆ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันการทุจริตสามารถเกิดขึ้นได้จริง และไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือกฎหมายมากมาย เพียงแค่มีความร่วมมือจากคนในพื้นที่ และมีระบบที่เอื้อต่อความโปร่งใสในระดับปฏิบัติการ
ทั้งนี้ งานวิจัยยังได้เสนอแนวทางที่ชัดเจนเพื่อสร้างชุมชนที่สามารถต่อต้านคอร์รัปชันได้อย่างเข้มแข็ง ได้แก่
- ต้องมี “ระเบียบชุมชน” ที่สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการให้สามารถตรวจสอบกันเองได้
- ส่งเสริมการจัดตั้ง “กลไกตรวจสอบภายในชุมชน” ที่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิก เพื่อความโปร่งใส
- หน่วยงานรัฐควร “สนับสนุนงบประมาณอย่างมีเงื่อนไข” เช่น ชุมชนต้องเปิดเผยข้อมูล และส่งรายงานผลเป็นประจำ
- ควรมีการสร้าง “เครือข่ายชุมชน” เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางที่ได้ผล ไม่ให้ชุมชนใดชุมชนหนึ่งต้องทำงานโดดเดี่ยว
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างความเข้าใจว่า “ชุมชนไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย” แต่สามารถเป็นผู้กำหนดทิศทางและร่วมจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันในพื้นที่ของตนเองได้ หากมีระบบและพื้นที่ที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ประเด็นเรื่องแนวทางการพัฒนาชุมชนต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเข้มแข็งเป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมที่ปลอดคอร์รัปชัน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” โดย อมรรัตน์ กุลสุจริต และคณะ (2561) งานวิจัยยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบงบประมาณสาธารณะ และบทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างความโปร่งใสระดับท้องถิ่น โดยสามารถอ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
อมรรัตน์ กุลสุจริต, เพ็ญประภา ภัทรานุกรม, สุจิตรา สามัคคีธรรม, ปรีชา ปิยจันทร์ และหฤทัย กมลศิริสกุล. (2561). แนวทางการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมที่ปลอดคอร์รัปชันโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน: กรณีศึกษา ชุมชนในเขตบางเขน เขตสายไหม เขตดอนเมือง และเขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.).
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
เปลี่ยน Trainees เป็น Rookies ตัวท็อปของวงการ : ชวนอ่าน Anti-Corruption 101 เพื่อปูพื้นฐานการต่อต้านคอร์รัปชัน
ชวนอ่าน Anti-Corruption 101 ที่จะช่วยปูพื้นฐานความรู้ในเรื่องการคอร์รัปชัน ผ่านแนวคิดทางวิชาการ และเรียนรู้แนวทางการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาเข้าใจง่ายสำหรับทุกคน
มาแล้ว !! โอกาสพัฒนาความรู้สู่การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ
KRAC ชวนทุกคนมาเรียน “หลักสูตรการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมสมัย” ที่จะพาผู้เรียนมาทำความเข้าใจกับการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีเนื้อหาประยุกต์ไปกับหลายศาสตร์หลากมุมมองและมีตัวอย่างกรณีศึกษาให้เรียนรู้ สอดแทรกไปกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบัน
คัดสรรงานวิจัยไทยต่อต้านคอร์รัปชัน ที่คุณอาจไม่รู้ (จัก) มาก่อน : ชวนอ่านสรุปงานวิจัยไทย 24 ชิ้น เพื่อทำความเข้าใจการต่อต้านคอร์รัปชัน
ชวนอ่านสรุปงานวิจัยไทยที่ KRAC คัดสรรมาให้คุณ เพื่อจะทำให้คุณเข้าใจปัญหา และวิธีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันภายใต้บริบทของประเทศไทย