
การมี Business Integrity ของธุรกิจสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดคอร์รัปชันได้ถึง 50% และยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนมากขึ้น
ในการบรรยายครั้งนี้ คุณภิญญ์ ศิรประภาศิริ ได้เริ่มต้นด้วยการอธิบายความหมายของคำว่า Business Integrity ว่าหมายถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsibility) และการรับผิดรับชอบ (Accountability) บนฐานของความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และมีการดำเนินการในประเด็นที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การกำกับดูแลให้ธุรกิจของตนมีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชัน
ซึ่งจากศึกษาของ Transparency International (2025) พบว่า ธุรกิจที่มีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง จะสามารถลดโอกาสการเกิดคอร์รัปชันในองค์กรได้ถึงร้อยละ 50 และยังมีแนวโน้มที่จะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจน้อยกว่าธุรกิจที่ไม่มีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชัน
บทบาทของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC)
แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ต้องการผลักดันประเด็นในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในการทำธุรกิจของภาคเอกชนไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับปัญหาการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจากการขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) การติดสินบน (Bribery) การให้สิ่งตอบแทนโดยมิชอบ (Illegal Gratuities) และการขู่กรรโชกทางเศรษฐกิจ (Economic Extortion) ได้ทำการศึกษาสถานการณ์การคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย และพบถึงสาเหตุของการคอร์รัปชันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
จากการศึกษา พบว่าสาเหตุของการคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย เกิดจากความล่าช้าของกระบวนการในการยื่นขอใบอนุญาต การถูกยืดระยะเวลาในการออกใบอนุญาตเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และการแก้ผิดให้กลายเป็นถูกจากการดำเนินการทางธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือมีความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เช่น ส่วยทางหลวง หรือบ่อนการพนัน เป็นต้น โดยจะมีการให้สินบนเพื่อทำให้เจ้าหน้าที่จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำให้ผู้กระทำผิดไม่ถูกดำเนินคดี รวมไปถึงการดำเนินการเพื่อให้ได้รับงานจากโครงการของหน่วยงานภาครัฐที่มีงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งการคอร์รัปชันในโครงการภาครัฐเหล่านี้ สามารถพบได้ในโครงการที่มีมูลค่าน้อยลงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในโครงการที่มูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท
และเมื่อเกิดการคอร์รัปชันในภาคธุรกิจขึ้น ก็อาจส่งผลทำให้หลายธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ตามมาทั้งในด้านกฎหมายและชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขาดความน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุนและแหล่งเงินกู้ทางธุรกิจ จนนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่ลดลง และอาจก่อให้เกิดวัฒนธรรมขององค์กรที่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของจริยธรรมในการทำงานที่โปร่งใสและซื่อสัตย์
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญและแบกรับกับความเสี่ยงดังกล่าว ธุรกิจภาคเอกชนต่าง ๆ จึงต้องมีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในมาตรา 176 ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญของ CAC ที่จะเข้ามาช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถวางมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถป้องกันการคอร์รัปชันที่อาจเกิดขึ้น และลดความเสี่ยงที่บริษัทจะถูกดำเนินคดีและเอาผิดทางกฎหมาย หากมีการตรวจพบว่ามีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นจากบุคลากรภายในองค์กรหรือคู่ค้าขององค์กร
มาตรการควบคุมภายใน โดย CAC
สำหรับมาตรการควบคุมภายในที่ทาง CAC ได้กำหนดให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรองจาก CAC ประกอบด้วย 7 มาตรการสำคัญ ได้แก่
- การประเมินความเสี่ยงด้านการคอร์รัปชัน
- การป้องกันความเสี่ยงด้านการคอร์รัปชัน ทั้งในทางปฏิบัติและในทางสภาพแวดล้อมขององค์กรที่จะส่งผลต่อการเกิดปัญหาคอร์รัปชัน การควบคุมดูแลทางด้านการเงิน การกำกับดูแลและตรวจสอบ และการควบคุมฝ่ายสนับสนุน
- นโยบายและข้อปฏิบัติด้านต่อต้านคอร์รัปชัน
- การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล
- การสื่อสาร
- การแจ้งเบาะแสและขอข้อแนะนำ
- การติดตามและทบทวนการใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อได้รับเอกสารรับรองจากทาง CAC แล้ว ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะสามารถใช้การรับรองดังกล่าวประกอบการยื่นข้อเสนอเพื่อประมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐในโครงการที่มีวงเงินเกินสามร้อยล้านบาทขึ้นไปได้
ในปัจจุบัน CAC มีสมาชิกทั้งหมดกว่า 1,800 บริษัท โดยมีบริษัทที่ได้รับการรับรองจำนวน 631 บริษัท ซึ่งการรับรองของ CAC นี้ ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยหน่วยงานในประเทศหลายแห่ง ได้ใช้การรับรองของ CAC ในการประเมินการดำเนินธุรกิจ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือในการพิจารณาให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
คุณภิญญ์ ศิรประภาศิริ ทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมกับ CAC ได้ง่าย ๆ โดยการประกาศเจตนารมณ์เพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน หลังจากนั้น บริษัทจะมีเวลา 18 เดือนในการทำแบบประเมินตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมในการต่อต้านคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ CAC ยังมีแนวทางในการขยายแนวร่วมของ CAC ด้วยการส่งเสริมและผลักดันให้บริษัทที่ผ่านการรับรองแล้ว เชิญชวนให้บริษัทคู่ค้ามีระบบต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างห่วงโซ่ธุรกิจที่โปร่งใสและยั่งยืน ตลอดจน มีการเชิญชวนผ่านสำนักงาน ป.ป.ช. และ องค์กรพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างเป็นรูปธรรม และเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับ CAC มากขึ้น
ท่านที่สนใจสามารถทำความรู้จักโครงการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
- Corruption in Private Sector
24 เมษายน 2568