KRAC Public Lecture | สถานการณ์คอร์รัปชันและกระบวนการต่อต้านคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย

การมี Business Integrity ของธุรกิจสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดคอร์รัปชันได้ถึง 50% และยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนมากขึ้น

 
KRAC Corruption ชวนทุกคนมาติดอาวุธความรู้ เพิ่มทักษะในการต่อต้านคอร์รัปชัน ในคลาสบรรยายพิเศษในรายวิชา 2940316 เศรษฐศาสตร์ธรรมาภิบาล (ECONOMICS OF GOVERNANCE) คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยได้รับเกียรติจาก คุณภิญญ์ ศิรประภาศิริ ผู้จัดการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ในหัวข้อ “Business Integrity in Action with Collective Action Against Corruption”
 
โดยเปิดให้นิสิตทุกระดับ อาจารย์ บุคลากร และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับฟัง ซึ่ง KRAC ได้สรุปประเด็นสำคัญจากการบรรยายพิเศษครั้งนี้ มาให้ทุกท่านรับทราบข้อมูลแบบเจาะลึกเกี่ยวกับสถานการณ์คอร์รัปชันไทยไปพร้อม ๆ กัน
 

ในการบรรยายครั้งนี้ คุณภิญญ์ ศิรประภาศิริ ได้เริ่มต้นด้วยการอธิบายความหมายของคำว่า Business Integrity ว่าหมายถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsibility) และการรับผิดรับชอบ (Accountability) บนฐานของความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และมีการดำเนินการในประเด็นที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การกำกับดูแลให้ธุรกิจของตนมีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชัน

 

ซึ่งจากศึกษาของ Transparency International (2025) พบว่า ธุรกิจที่มีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง จะสามารถลดโอกาสการเกิดคอร์รัปชันในองค์กรได้ถึงร้อยละ 50 และยังมีแนวโน้มที่จะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจน้อยกว่าธุรกิจที่ไม่มีกลไกในการต่อต้านคอร์รัปชัน

บทบาทของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC)

แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ต้องการผลักดันประเด็นในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในการทำธุรกิจของภาคเอกชนไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับปัญหาการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจากการขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) การติดสินบน (Bribery) การให้สิ่งตอบแทนโดยมิชอบ (Illegal Gratuities) และการขู่กรรโชกทางเศรษฐกิจ (Economic Extortion) ได้ทำการศึกษาสถานการณ์การคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย และพบถึงสาเหตุของการคอร์รัปชันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

 

จากการศึกษา พบว่าสาเหตุของการคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย เกิดจากความล่าช้าของกระบวนการในการยื่นขอใบอนุญาต การถูกยืดระยะเวลาในการออกใบอนุญาตเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และการแก้ผิดให้กลายเป็นถูกจากการดำเนินการทางธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือมีความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เช่น ส่วยทางหลวง หรือบ่อนการพนัน เป็นต้น โดยจะมีการให้สินบนเพื่อทำให้เจ้าหน้าที่จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำให้ผู้กระทำผิดไม่ถูกดำเนินคดี รวมไปถึงการดำเนินการเพื่อให้ได้รับงานจากโครงการของหน่วยงานภาครัฐที่มีงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งการคอร์รัปชันในโครงการภาครัฐเหล่านี้ สามารถพบได้ในโครงการที่มีมูลค่าน้อยลงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในโครงการที่มูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท


และเมื่อเกิดการคอร์รัปชันในภาคธุรกิจขึ้น ก็อาจส่งผลทำให้หลายธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ตามมาทั้งในด้านกฎหมายและชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขาดความน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุนและแหล่งเงินกู้ทางธุรกิจ จนนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่ลดลง และอาจก่อให้เกิดวัฒนธรรมขององค์กรที่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของจริยธรรมในการทำงานที่โปร่งใสและซื่อสัตย์


ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญและแบกรับกับความเสี่ยงดังกล่าว ธุรกิจภาคเอกชนต่าง ๆ จึงต้องมีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561  ในมาตรา 176 ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญของ CAC ที่จะเข้ามาช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถวางมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถป้องกันการคอร์รัปชันที่อาจเกิดขึ้น และลดความเสี่ยงที่บริษัทจะถูกดำเนินคดีและเอาผิดทางกฎหมาย หากมีการตรวจพบว่ามีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นจากบุคลากรภายในองค์กรหรือคู่ค้าขององค์กร

มาตรการควบคุมภายใน โดย CAC

สำหรับมาตรการควบคุมภายในที่ทาง CAC ได้กำหนดให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรองจาก CAC ประกอบด้วย 7 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

  1. การประเมินความเสี่ยงด้านการคอร์รัปชัน
  2. การป้องกันความเสี่ยงด้านการคอร์รัปชัน ทั้งในทางปฏิบัติและในทางสภาพแวดล้อมขององค์กรที่จะส่งผลต่อการเกิดปัญหาคอร์รัปชัน การควบคุมดูแลทางด้านการเงิน การกำกับดูแลและตรวจสอบ และการควบคุมฝ่ายสนับสนุน
  3.  นโยบายและข้อปฏิบัติด้านต่อต้านคอร์รัปชัน
  4. การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล
  5. การสื่อสาร
  6. การแจ้งเบาะแสและขอข้อแนะนำ
  7. การติดตามและทบทวนการใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อได้รับเอกสารรับรองจากทาง CAC แล้ว ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะสามารถใช้การรับรองดังกล่าวประกอบการยื่นข้อเสนอเพื่อประมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐในโครงการที่มีวงเงินเกินสามร้อยล้านบาทขึ้นไปได้


ในปัจจุบัน CAC มีสมาชิกทั้งหมดกว่า 1,800 บริษัท โดยมีบริษัทที่ได้รับการรับรองจำนวน 631 บริษัท ซึ่งการรับรองของ CAC นี้ ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยหน่วยงานในประเทศหลายแห่ง ได้ใช้การรับรองของ CAC ในการประเมินการดำเนินธุรกิจ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือในการพิจารณาให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

 

 

คุณภิญญ์ ศิรประภาศิริ ทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมกับ CAC ได้ง่าย ๆ โดยการประกาศเจตนารมณ์เพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน หลังจากนั้น บริษัทจะมีเวลา 18 เดือนในการทำแบบประเมินตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมในการต่อต้านคอร์รัปชัน

 

นอกจากนี้ CAC ยังมีแนวทางในการขยายแนวร่วมของ CAC ด้วยการส่งเสริมและผลักดันให้บริษัทที่ผ่านการรับรองแล้ว เชิญชวนให้บริษัทคู่ค้ามีระบบต่อต้านคอร์รัปชันที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างห่วงโซ่ธุรกิจที่โปร่งใสและยั่งยืน ตลอดจน มีการเชิญชวนผ่านสำนักงาน ป.ป.ช. และ องค์กรพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างเป็นรูปธรรม และเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับ CAC มากขึ้น

 

ท่านที่สนใจสามารถทำความรู้จักโครงการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

You might also like...