
กลไกการแจ้งเบาะแส (Whistleblowing) กุญเเจสำคัญในการต่อต้านการทุจริต
“กลไกการแจ้งเบาะแส (Whistleblowing)” คือ หนึ่งในกลไกสำคัญในการต่อต้านการทุจริตโดยมี “ผู้แจ้งเบาะแส (Whistle blower)” เป็นกุญแจสำคัญ เพราะการรายงานจากประชาชนจะช่วยเปิดเผยและนำไปสู่การตรวจสอบการทุจริตได้ ลองคิดเล่น ๆ ว่าหากคนไทยประมาณ 66 ล้านคน (กระทรวงมหาดไทย) ช่วยกันตรวจสอบเรื่องทุจริตคนละเรื่อง เราก็อาจจะเจอเหตุทุจริต 66 ล้านเรื่อง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือยิ่งมีคนแจ้งเรื่องทุจริตมามากเท่าไร เราก็พบเจอปัญหาและแก้ไขมันได้เร็วขึ้นเท่านั้น
แต่ความเป็นจริงแล้วการสนับสนุนให้คนเข้ามาแจ้งเหตุเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากมีอุปสรรคมากมายที่ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่แจ้งเบาะแส จากงานวิจัย “การศึกษาวิจัยประเมินประสิทธิภาพของผู้แจ้งเบาะแส” (2560) ที่จัดทำโดย ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ และคณะ ได้ศึกษากฎหมาย และแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค และเสนอแนะแนวทางเพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว
KRAC ได้สรุป 3 อุปสรรคมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ดังนี้
3 อุปสรรคที่ทำให้ประชาชนไม่อยากร่วมเป็นผู้แจ้งเบาะแส
อุปสรรคที่ทำให้ประชาชนไม่อยากร่วมเป็นผู้แจ้งเบาะแสแม้ว่าจะเคยได้ยินหรือเคยพบเรื่องการทุจริต เนื่องจาก
- ความกลัว: ผู้แจ้งเบาะแสต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย เช่น การถูกแก้แค้นจากผู้มีอิทธิพลที่เสียผลประโยชน์โดยใช้กำลังหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อทำร้ายผู้แจ้งเบาะแส เช่น การถูกกลั่นแกล้ง การถูกกีดกัน การถูกใส่ร้าย การถูกโยกย้ายหน้าที่การงาน การถูกตัดเงินเดือน การถูกนินทา หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เช่น การฟ้องหมิ่นประมาท
- ความไม่มั่นใจ: ผู้แจ้งเบาะแสอาจไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือได้รับการคุ้มครอง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แจ้งไปแล้วไม่มีการดำเนินคดี หน่วยงานรัฐอาจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ไม่ให้ความสำคัญกับเบาะแสที่ได้รับ หรือการถูกเปิดเผยตัวตนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากหน่วยงานที่รับเรื่อง ทำให้ผู้แจ้งเบาะแสตกอยู่ในอันตราย
- กฎหมาย: ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายกลางที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส ทำให้การคุ้มครองไม่ทั่วถึงและไม่มีมาตรฐาน เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับผู้แจ้งเบาะแสมีความกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับทำให้ยากต่อการเข้าใจและบังคับใช้ นอกจากนี้กฎหมายยังขาดความชัดเจน ไม่ได้กำหนดรายละเอียดในการคุ้มครองและเยียวยาผู้แจ้งเบาะแสไว้อย่างแน่ชัดและในกฎหมายบางอย่างยังขาดกลไกและหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับเรื่องและให้ความช่วยเหลือผู้แจ้งเบาะแส
4 แนวทางปลดล็อก “ผู้แจ้งเบาะแส” สู่สังคมที่โปร่งใส
จากปัญหาที่เกิดขึ้น งานวิจัยได้แนะนำแนวทางการสนับสนุนผู้แจ้งเบาะแสดังนี้
- ตรากฎหมายกลาง: ควรมีการบูรณาการกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นกฎหมายกลาง โดยกำหนดนิยาม ขอบเขต และหลักเกณฑ์ในการแจ้งเบาะแสให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องกำหนดสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ รวมถึงมาตรการคุ้มครองและเยียวยาของผู้แจ้งเบาะแส และผู้ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังต้องกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ขัดขวางหรือทำร้ายผู้แจ้งเบาะแสด้วย
- จัดตั้งหน่วยงานกลาง: ควรจัดตั้งหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระ และมีอำนาจในการรับเรื่องตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแส โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานกลางให้ชัดเจน เช่น การรับเรื่องการสืบสวนการประสานงานและการให้ความช่วยเหลือผู้แจ้งเบาะแส นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้เพียงพอต่อการทำงานของหน่วยงานกลางด้วย
- ให้รางวัลและสิทธิประโยชน์: ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการให้รางวัล และสิทธิประโยชน์แก่ผู้แจ้งเบาะแส เช่น เงินรางวัล การเลื่อนขั้น หรือการคุ้มครองทางอาชีพ และกำหนด มาตรการเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้แจ้งเบาะแส เช่น การถูกเลิกจ้าง หรือการถูกกลั่นแกล้ง
- สร้างความตระหนัก: ควรมีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญและบทบาท ของผู้แจ้งเบาะแส รวมถึงส่งเสริมให้สังคมยอมรับและให้การสนับสนุนผู้แจ้งเบาะแส ปลูกฝัง ค่านิยม และจริยธรรมในการแจ้งเบาะแส
ไทยควรพัฒนากฎหมาย และแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองและสนับสนุนผู้แจ้งเบาะแส
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ผู้แจ้งเบาะแสเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้กลไกการแจ้งเบาะแสขับเคลื่อนไปได้ ทั้งนี้ เพื่อที่จะทำลายอุปสรรคที่ขัดขวางกระบวนการแจ้งเบาะแส ประเทศไทยควรมีการพัฒนากฎหมาย และแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองและสนับสนุนผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของคนทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย และเพื่อแก้ไขการทุจริต
ปัจจุบันมีหลายช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งเรื่องทุจริตได้ เช่น สายด่วน 1205 แจ้งเรื่องทุจริตกับ ป.ป.ช. หรือแจ้งเรื่องกับหน่วยงานภาคประชาชนทาง Facebook เช่น เพจต้องแฉ เป็นต้น
งานวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิจัยประเมินประสิทธิภาพของผู้แจ้งเบาะแส” (2560) โดย ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ และคณะ ยังมีข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการแจ้งเบาะแสที่น่าสนใจ เช่น แนวคิดเรื่องการแจ้งเบาะแสในสหรัฐฯ ความเป็นมาของระบบการแจ้งเบาะแส โดยสามารถอ่านสรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์, ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ, ณัชพล จิตติรัตน์ และ วิมพัทธ์ ราชประดิษฐ์. (2560). การศึกษาวิจัยประเมินประสิทธิภาพของผู้แจ้งเบาะแส. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.
- ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I มันจบแล้วครับ…(ถ้า) นาย (โกง) : รู้จักกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะทุจริต
การแจ้งเบาะแส เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถลดการคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคงไม่มีใครให้มีข้อมูลเชิงลึกได้เท่า “คนใน” องค์กรเอง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนในองค์กรไม่กล้าให้แจ้งเบาะแสทุจริต คือ “ความกลัว”
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รู้จัก 3 แนวทาง Support ผู้แจ้งเบาะแสทุจริต
ยิ่งมีคนแจ้งเบาะแสมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีการตรวจสอบและช่วยนำคนผิดมาลงโทษมากเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนที่มีข้อมูลไม่อยากแจ้งเบาะแส เพราะกลัวว่าถ้าแจ้งไปแล้วก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | รางวัลแด่คนช่าง “แจ้ง”
กุญแจสำคัญที่จะช่วยจัดการคอร์รัปชันได้ คือ “การมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส” เพราะถ้าทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบคอร์รัปชันภายในหน่วยงานรัฐ ช่วยกันแจ้งเบาะแส จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐรู้สึกกดดัน กลัวจะถูกจับได้และไม่กล้าคอร์รัปชัน ภาครัฐจึงมีความพยายามอย่างมากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน