อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเสี่ยงถูกจีนปั่นป่วนอีก 3 ปีข้างหน้า
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ตึกของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพวัสดุก่อสร้างและผู้เหมาจากประเทศจีน
แต่นอกจากเรื่องของความโปร่งใส อีกประเด็นที่น่าสนใจคือทำไมบริษัทจีนถึงเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย โดยเฉพาะโครงการจากภาครัฐ แล้วการเข้ามาของบริษัทเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อประเทศไทยในอนาคต ?
งานวิจัยเรื่อง “การศึกษาปรับปรุงกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสร้างความโปร่งใสเป็นธรรม คุ้มค่าและเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ (2566) พบว่า ปัจจุบันบริษัทก่อสร้างจีนเข้ามามีบทบาทในตลาดก่อสร้างประเทศไทยอย่างมาก และอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทจากจีนอาจสร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไม่น้อยทีเดียว
รูปแบบของบริษัทก่อสร้างจีนในตลาดก่อสร้างไทย
โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนพยายามบุกตลาดก่อสร้างหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียภายใต้นโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อขยายอิทธิพลของจีนผ่านทางเศรษฐกิจและการทูต ซึ่งตลาดก่อสร้างไทยก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ประเทศจีนให้ความสนใจ
บริษัทก่อสร้างจีนหลายแห่งจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และนอกจากนี้บริษัทจีนยังมีเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยให้ก่อสร้างได้เร็วขึ้น ลดต้นทุน และวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถเข้ามาแข่งขันกับบริษัทไทยในตลาดนี้ได้ไม่ยาก
ตัวอย่างเทคโนโลยีที่จีนใช้ เช่น Building Information Modelling (BIM) ที่ช่วยในการวางและติดตามงานก่อสร้างให้แม่นยำ, 3D Printer ที่สามารถคัดลอกกำแพงหรือเสาเพื่อประหยัดช่วยลดเวลาก่อสร้าง หรือการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผสม CO2 เข้าปูนซีเมนต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ตัวอย่างโครงการที่บริษัทจีนเข้ามาร่วมดำเนินงานกับไทย เช่น การสร้างทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ, งานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ เป็นต้น
มองในแง่หนึ่งบริษัทก่อสร้างอาจถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยได้ แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบด้านลบ ได้แก่
- บริษัทไทยจะเสียโอกาสในตลาดโครงการรัฐ
- ประเทศไทยอาจต้องพึ่งพาต่างชาติเป็นหลัก
- อำนาจการต่อรองของผู้ประกอบการไทยในอนาคตจะลดลง
- ทำให้ผู้ประกอบการไทยกลายเป็น “ผู้รับจ้างช่วง” หรือลูกจ้างของบริษัทจีน หรือก็คือ แม้จะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศ แต่คนไทยกลับได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควร
ไทยจะรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร
เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น งานวิจัยเสนอว่า การปรับปรุงกฎหมายและกลไกจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถ “ยกระดับการแข่งขันอย่างเป็นธรรม” และ “เสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทย” ไปพร้อมกัน โดยมีแนวทางดังนี้
ปรับปรุงระบบประเมินและข้อกำหนดในเอกสารประกวดราคา (TOR) ให้เท่าเทียมและยืดหยุ่น :
ปัจจุบัน TOR มักเอื้อให้เฉพาะรายใหญ่หรือผู้มีเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กถูกตัดโอกาส การกำหนด TOR จึงต้องเน้นความสามารถและประสบการณ์แทนที่จะกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบเท่านั้น
ยกระดับเกณฑ์ประเมินให้คำนึงถึงความคุ้มค่าระยะยาว ไม่ใช่แค่ราคา :
ปัจจุบันระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทยยังเน้น “ผู้เสนอราคาต่ำสุด” ซึ่งอาจนำไปสู่การลดต้นทุนโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพหรือผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ งานวิจัยเสนอให้ใช้ Value-for-Money Approach ที่ประเมินทั้งราคา คุณภาพ อายุการใช้งาน และผลกระทบทางเศรษฐกิจรวม (Total Cost of Ownership) เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างสร้างประโยชน์ได้รอบด้าน
สร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไทยรายเล็กสามารถแข่งขันได้จริง :
เช่น การแบ่งสัญญาขนาดใหญ่เป็นสัญญาย่อย, การกำหนดเงื่อนไขที่ไม่ปิดกั้น SMEs หรือผู้ประกอบการท้องถิ่น และการให้คะแนนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยหรือจ้างแรงงานในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาต่างชาติในระยะยาว และคงอำนาจต่อรองของผู้ประกอบการไทยไว้ในระบบเศรษฐกิจ
เร่งพัฒนากฎกติกาที่ทำให้การแข่งขันเป็นธรรม โปร่งใส
การเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของการกีดกันต่างชาติ แต่คือการพัฒนากฎกติกาที่ทำให้การแข่งขันเป็นธรรม โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
เพราะหากไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายและระบบจัดซื้อจัดจ้างให้ตอบโจทย์จริง ๆ ไทยอาจสูญเสียทั้งความสามารถในการแข่งขัน ศักยภาพในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และท้ายที่สุดคืออธิปไตยทางเศรษฐกิจของตัวเองในระยะยาว
งานวิจัยชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่กำลังใกล้เข้ามาเท่านั้น แต่ยังชวนตั้งคำถามว่า หากวันนี้เรายังไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง แล้วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ใครจะเป็นผู้กำหนดอนาคตของการก่อสร้างในประเทศไทย ?
การเข้ามาของอุตสาหกรรมจีนเป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาปรับปรุงกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสร้างความโปร่งใสเป็นธรรม คุ้มค่าและเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ (2566) ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้โปร่งใส ยืดหยุ่น และเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในระยะยาว โดยสามารถอ่านสรุปงานวิจัยได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
คอลัมน์ “KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย” เป็นบทความเล่างานวิจัยไทยด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่หยิบยกหนึ่งในประเด็นของงานวิจัยในมุมมองของผู้ปฏิบัติการ เพื่อปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องการคอร์รัปชัน และการต่อต้านคอร์รัปชันในมิติต่าง ๆ ภายใต้บริบทของประเทศไทย
สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์, ศุภณัฐ ศศิวุฒิวัฒน์, เทียนสว่าง ธรรมวณิช, ธิปไตร แสละวงศ์ และภูมิจิต ศรีอุดมขจร. (2566). การศึกษาปรับปรุงกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสร้างความโปร่งใสเป็นธรรม คุ้มค่า และเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค
หัวข้อ
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย I ในสังคมที่มีความร่วมมือหรือความไว้เนื้อเชื่อใจกันสูง รัฐจะสร้างประโยชน์จากข้อค้นพบนี้อย่างไร ?
มุมมองของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐ หนึ่งกลุ่มจ่ายภาษี อีกกลุ่มเข้ามาทำหน้าที่พัฒนาบริการสาธารณะให้เกิดประโยชน์ แต่มีหลายครั้งที่โครงการไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น ศาลาสร้างทิ้งไว้ไม่มีคนใช้ จนบางครั้งประชาชนต้องลงแรงทำกันเอง
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | โควิดเป็นเหตุ: สำรวจสถานการณ์ทุจริตที่เพิ่มขึ้นในช่วงโรคระบาด
การระบาดของโควิด-19 นำมาซึ่งวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก โดยพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าการให้และเรียกรับสินบนในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ? อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความนี้เลย
KRAC คัดสรร เล่างานวิจัยไทย | แก้เกมฟอกเงิน แก้โกงงบประมาณ
ปัญหาฟอกเงินไทย อะไรคือจุดอ่อน ? ชวนสำรวจแนวทางการป้องกันฟอกเงินด้วยการแก้กฎหมายบางมาตรา และสร้างความร่วมมือเพื่อให้เกิดความโปร่งใส จากงานวิจัยเรื่อง การต่อต้านการคอร์รัปชัน: มาตรการการควบคุมการเคลื่อนไหวของเงิน (2558)